คอลลาเจนเปปไทด์ ( collagen ) ประโยชน์ดีๆ ที่ได้มากกว่าผิวสวย

คอลลาเจนเปปไทด์

เมื่อพูดถึง คอลลาเจนเปปไทด์ ( Collagen peptide ) ความคิดแรกที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราจะเป็นคุณสมบัติที่ช่วยในการบำรุงผิวพรรณอย่างมีประสิทธิภาพ ให้เนื้อผิวใส เรียบเรียง และกระชับ เต่งตึง นอกจากนี้ยังช่วย ลดริ้วรอย ที่เกิดขึ้นในผิวพรรณอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงก็คือประโยชน์ของคอลลาเจนเปปไทด์ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การดูแลผิวพรรณเท่านั้น แต่ยังช่วยในการสร้างและบำรุงกระดูกอ่อน ๆ ให้มีความแข็งแรง ลดปัญหาเรื่องกระดูกไขข้อในผู้สูงอายุ และเสริมความแข็งแรงให้กับเส้นผมด้วยอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ที่หลากหลายอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้น คอลลาเจนเปปไทด์เป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลให้ร่างกายเป็นอย่างมาก

เนื้อหา

คอลลาเจนเปปไทด์ คืออะไร?

( Collagen peptides ) คือสารที่ได้มาจากการสกัดคอลลาเจนให้อยู่ในรูปของโมเลกุลอะมิโนที่สั้นกว่าเดิม กระบวนการนี้เรียกว่าไฮโดรไลซ์ (Hydrolysis) หรือปฏิกิริยาที่ใช้น้ำเข้าไปสลายพันธะ เพื่อทำให้คอลลาเจนที่มีโมเลกุลใหญ่แตกตัวเป็นสารที่มีโมเลกุลเล็กลง ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมคอลลาเจนได้ง่ายขึ้น คอลลาเจนเปปไทด์เป็นสารที่สำคัญในการสร้างเนื้อเยื่อ เช่น ผิวหนัง กระดูก ข้อต่อ กระดูกอ่อน และ หลอดเลือด ซึ่งมีโปรตีนประกอบอยู่มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ ไกลซีน (glycine), ไฮดรอกซีโพรลีน (hydroxyproline) และโพรลีน (proline)

คอลลาเจนเปปไทด์กับคอลลาเจนทั่วไปต่างกันอย่างไร

คอลลาเจนเปปไทด์แตกต่างจากคอลลาเจนปกติโดยใช้อย่างมีประสิทธิภาพในเรื่องการดูดซึมของร่างกาย คอลลาเจนเปปไทด์ถูกผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ (Hydrolysis) เพื่อแปลงคอลลาเจนให้อยู่ในรูปของสายกรดอะมิโนที่สั้นลง โดยมีขนาดโมเลกุลประมาณ 2,000 ดาลตัล ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กกว่า คอลลาเจนปกติที่มีขนาดโมเลกุลอยู่ที่ประมาณ 300,000 ดาลตัล การมีขนาดโมเลกุลที่เล็กของ คอลลาเจนเป๊ปไทด์ ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพในการดูดซึมมากกว่าคอลลาเจนปกติทั่วไป

คอลลาเจน มีกี่ชนิด ?

คอลลาเจน ( collagen ) เป็นโปรตีนที่มีความสำคัญในร่างกาย เป็นส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างผิวพรรณ กระดูกอ่อน และหลอดเลือด คอลลาเจนอยู่ในรูปของเส้นใยที่มีความแข็งแรง และเป็นสารที่ช่วยให้เนื้อเยื่อและอวัยวะมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น ในร่างกายมีคอลลาเจนมากกว่า 18 ชนิด โดยที่คอลลาเจนชนิดที่พบมากที่สุดมี 5 ชนิด ได้แก่

คอลลาเจนประเภทที่ 1 (type I)

เป็นส่วนสำคัญในร่างกายซึ่ง พบมากถึง 90 % ของคอลลาเจนทั้งหมดในร่างกาย คอลลาเจนประเภทนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างและซ่อมแซมกระดูก ผนังหลอดเลือด และเอ็นยึดกล้ามเนื้อ ไม่เพียงแค่นั้นเท่านั้น คอลลาเจนประเภทที่ 1 ยังมีความสำคัญในการรักษาความเหนียวและความแข็งแรงของผิวหนัง กระจกตา และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน สิ่งที่ยิ่งให้ความสำคัญกับคอลลาเจนประเภทที่ 1 คือความสามารถในการเพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื้อ ป้องกันเนื้อเยื้อไม่ให้เกิดการฉีกขาด และช่วยในการสมานแผลบนผิวหนังอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ผิวหนังของบุคคลที่มีการสังเคราะห์คอลลาเจนประเภทที่ 1 อย่างเพียงพอจะมีความงดงาม กระชับ และไม่มีริ้วรอยที่เห็นได้เจาะจง

คอลลาเจนประเภทที่ 2 (type II)

เป็นคอลลาเจนที่พบมากใน กระดูกอ่อน ข้อต่อ เช่น ส่วนประกอบของหู จมูก หลอดลม และกระดูกซี่โครง หน้าที่ของคอลลาเจนประเภทนี้แตกต่างจากคอลลาเจนประเภทที่ 1 โดยมีบทบาทในการกระตุ้นเซลล์ในการสังเคราะห์ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อลดการสึกกระดูกอ่อนในบริเวณข้อต่อ คอลลาเจนประเภทที่ 2 เป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนน้ำหนักและเพิ่มความแข็งแรงให้กับข้อต่อในระหว่างการเคลื่อนไหว

โครงข่ายของคอลลาเจนประเภทที่ 2 ทั้งนี้ส่วนประกอบอื่นๆ ประกอบด้วยกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid) และโปรตีโอไกลแคน (Proteoglycan) เช่น แอกกริแคน (Aggrecan) และไกลโคอะมิโนไกลแคน (Glycoaminoglycans) เช่น คอนโดอิตินซัลเฟต (Chondroitin Sulfate) และเคอราแทนซัลเฟต (Keratan Sulfate)

การศึกษาพบว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากหรือผู้สูงอายุ กระดูกอ่อนชนิด Articular Cartilages ที่มีความทนต่อแรงกระแทกน้อยลง โดยเฉพาะที่ข้อต่อที่รับน้ำหนักเช่นข้อเข่าและสะโพก เชื่อมโยงกับภาวะการเกิดข้อเสื่อมและอาการอักเสบ (Osteoarthritis)

คอลลาเจนประเภทที่ 3 (type III)

มักพบร่วมกับคอลลาเจนประเภทที่ 1 ในส่วนของผิวพรรณ กล้ามเนื้อ และ ผนังหลอดเลือด คอลลาเจนประเภทนี้มีบทบาทในการรองรับและเสริมความแข็งแรงของเนื้อเยื่อที่ร่วมมาด้วย

คอลลาเจนประเภทที่ 4 (type IV)

พบในส่วนของชั้นเยื่อบุผิวเช่นเบซัลลามินา (basal lamina) และชั้นเนื้อประสานที่รองรับเนื้อผิวเช่นเมมเบรนเนรเมน (basement membrane) คอลลาเจนประเภทนี้มีคุณสมบัติที่เฉพาะเจาะจง พบมากที่เนื้อเยื่อที่หุ้ม กล้ามเนื้อ และไขมัน นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการสนับสนุนการทำงานของระบบประสาทและเส้นเลือดด้วย

คอลลาเจนประเภทที่ 5 (type V)

เป็นคอลลาเจนที่ร่วมมีบทบาทในเยื่อบุเซลล์ต่างๆ พบอยู่ในผิวของเซลล์ และเส้นผม

คุณสมบัติของ คอลลาเจนเปปไทด์

คุณสมบัติที่สำคัญของ คอลลาเจนเปปไทด์

  1. การลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยเพื่อให้แลดูจางลงเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้ส่วนผสมของเปปไทด์ ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้ผิวดูกระชับเต่งตึงและช่วยในการลดเลือนริ้วรอยให้แลดูจางลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ คอลลาเจนเปปไทด์ ยังช่วยให้ผิวดูอิ่มฟูและมีความชุ่มชื่นขึ้นอีกด้วย
  2. เมื่อใช้เปปไทด์เพื่อเติมเต็มคอลลาเจนให้กับผิว ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นการคืนความแข็งแรงให้กับเกราะปกป้องผิว (Skin Barrier) ทำให้เกราะปกป้องผิวมีความแข็งแรงอยู่ภายใน
  3. การเพิ่มขึ้นของอายุอาจส่งผลต่อปริมาณของคอลลาเจนในผิวหนังที่ลดลง จึงเกิดการหย่อนคล้อยเช่นกำแพงที่มีช่องว่างเมื่อคอลลาเจนลดลง สาเหตุแห่งนี้อาจทำให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื่นได้ง่ายๆ
  4. เมื่อผิวมีริ้วรอยที่เพิ่มขึ้น สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือมีอาการผิวแห้งและขาดน้ำ เราสามารถจับต้องได้ว่าปัญหาเหล่านี้เกิดจากความลดลงของคอลลาเจนในผิวหนัง เพื่อเรียกคืนสภาวะการผลิตคอลลาเจน เราสามารถใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่ประกอบด้วยเปปไทด์ ซึ่งจะมีประโยชน์ในการส่งสัญญาณให้ผิวทำงานในการผลิตคอลลาเจนอีกครั้ง
  5. การฟื้นฟูผิวหนังเพื่อให้มีลักษณะเฟิร์มและกระชับเป็นเรื่องสำคัญ โดยเมื่อผิวผลิตคอลลาเจนมากขึ้น การใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีส่วนประกอบของเปปไทด์อาจช่วยเพิ่มความเฟิร์มและกระชับให้กับผิวได้
  6. การปรับผิวให้เรียบเนียนเป็นเรื่องสำคัญ และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี เราสามารถใช้เปปไทด์เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิว ซึ่งจะช่วยเพิ่มความอิ่มฟูและเรียบเนียนให้กับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  7. การซ่อมแซมผิวที่เสื่อมสภาพเป็นเรื่องสำคัญ เราสามารถใช้เปปไทด์เพื่อฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพได้ โดยเปปไทด์จะส่งสัญญาณให้เซลล์ผิวขยันผลิตคอลลาเจนเพื่อช่วยทดแทนคอลลาเจนที่เสื่อมสภาพไป
  8. สารต้านอนุมูลอิสระที่ปรากฏอยู่ในเปปไทด์ มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบของผิว ซึ่งช่วยในการปลอบประโลมผิวให้รู้สึกสบายและไม่มีอาการอักเสบ

คอลลาเจนเปปไทด์ มีประโยชน์อย่างไร

หากคุณกำลังสงสัยเกี่ยวกับประโยชน์ที่สำคัญของสารสกัดจาก คอลลาเจนเปปไทด์ ก่อนที่คุณจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม นี่คือข้อมูลที่คุณควรทราบ :

  1. การช่วยเสริมสภาพคอลลาเจนในร่างกาย คอลลาเจนเป็นประเภทหนึ่งของโปรตีนที่มีอยู่ในร่างกายโดยประมาณ 1 ใน 3 และจะเสื่อมสภาพไปเมื่อเข้าสู่อายุ 30 ปี การบริโภคอาหารเสริมที่ประกอบด้วยคอลลาเจนไดเปปไทด์ (Collagen dipeptide) สามารถช่วยทดแทนคอลลาเจนที่เสื่อมสภาพไปและช่วยให้ร่างกายมีความเต่งตึงและไม่ หย่อนคล้อย
  2. ช่วยลดริ้วรอยและกระต้นให้เกิดการสร้างอิลาสตินในชั้นผิวหนัง การศึกษาล่าสุดที่เผยแพร่ใน Journal of Drugs in Dermatology พบว่าการบริโภคคอลลาเจนในปริมาณ 10 กรัมต่อวันสามารถช่วยเพิ่มการสร้างอิลาสตินในชั้นผิวหนังได้ ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวชุ่มชื้นและเต็มเต็มด้วยความยืดหยุ่น อีกทั้งยังช่วยทำให้ผิวดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์มากขึ้นเช่นกัน
  3. ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก การศึกษาล่าสุดที่ได้รับการตีพิมพ์ใน Applied Physiology, Nutrition, and Metabolism พบว่าการบริโภคคอลลาเจนในปริมาณ 5 กรัมต่อวันนานเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์โดยนักกีฬาที่มีปัญหาอาการปวดบริเวณเข่า สามารถช่วยลดอาการบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมและบรรเทาอาการเจ็บบริเวณเข่าได้ ซึ่งคอลลาเจนจะช่วยเพิ่มมวลกระดูกและเสริมให้กระดูกแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยลดการอักเสบและอาการเจ็บปวดจากการเคลื่อนไหวในบริเวณเซลล์กระดูกอ่อนได้อีกด้วย
  4. ช่วยเสริมสร้างการทำงานของหัวใจ การศึกษาล่าสุดที่ได้รับการตีพิมพ์ใน Journal of Atherosclerosis and Thrombosis พบว่าการบริโภคคอลลาเจนสองครั้งต่อวันเป็นเวลา 6 เดือนสามารถช่วยลดภาวะหลอดเลือดแข็งตัวได้ นำไปสู่การลดระดับคอเลสเตอรอลและความผิดปกติในหลอดเลือด ประกอบกับการเสริมประสิทธิภาพของระบบการเต้นของหัวใจให้ดีขึ้น

กินคอลลาเจนอย่างไร ให้เกิดประโยชน์ที่สุด

  1. การรับประทานโปรตีนต่อวันให้เพียงพอ คอลลาเจนถือเป็นหนึ่งในประเภทของโปรตีน การบริโภคโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอต่อวันจะช่วยสร้างคอลลาเจนได้ เนื่องจากร่างกายจะย่อยโปรตีนเป็นกรดอะมิโนซึ่งจะถูกใช้ในการสร้างคอลลาเจนเพื่อเสริมสร้างผิวหนัง ข้อเข่า หรือกระดูก ดังนั้นอย่าลืมเพิ่มการบริโภคโปรตีนให้เพียงพอเพื่อสุขภาพของร่างกาย
  2. การรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งวิตามิน การบริโภคอาหารที่มีปริมาณวิตามินสูง เช่น วิตามิน C วิตามิน A และ วิตามิน E จะช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจน วิตามินเหล่านี้ยังช่วยในการดูดซึมคอลลาเจนให้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  3. การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อวัน ประมาณ 8-10 แก้วหรือประมาณ 2 ลิตร จะช่วยส่งเสริมกระบวนการสร้างคอลลาเจนภายในร่างกาย หากไม่ได้ดื่มน้ำให้เพียงพอ การสร้างคอลลาเจนอาจลดลงได้เช่นกัน
  4. เลือกรูปแบบการบริโภคคอลลาเจนอย่างเหมาะสม วิธีการเลือกรูปแบบในการบริโภคคอลลาเจนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การบริโภคอาหารเสริมคอลลาเจนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คอลลาเจนในรูปแบบผงหรือน้ำมีความสามารถในการดูดซึมได้เร็วกว่าคอลลาเจนในรูปแบบเม็ด การบริโภคคอลลาเจนแบบไดเปปไทด์ยังช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมและใช้งานคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นพิเศษกว่ารูปแบบอื่น ๆ
  5. การรับประทานคอลลาเจนให้เพียงพอ การรับประทานคอลลาเจนในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ ควรทำตามคำแนะนำที่ระบุบนฉลากผลิตภัณฑ์และหลีกเลี่ยงการรับประทานเกินขนาดในระยะเวลายาวนาน เพราะอาจมีผลกระทบที่เสี่ยงต่อสุขภาพได้ ปริมาณคอลลาเจนที่ควรรับประทานต่อวันอยู่ในช่วง 5-7 กรัม หรือประมาณ 5,000-7,000 มิลลิกรัม
  6. ปรับปรุงพฤติกรรมในการดูแลชีวิตเพื่อการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อให้การรับประทานคอลลาเจนมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราควรใส่ใจในพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนให้เพียงพอหรือการรับประทานอาหารให้ครบถ้วนตามหมู่อาหาร อีกทั้งอย่าลืมรับมือกับความเครียด หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ อย่าลืมป้องกันจากรังสี UV ที่มาจากแสงแดดอย่างต่อเนื่อง เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถทำให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพหรือถูกทำลายได้อย่างง่าย

ปัจจัยที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้คอลลาเจนลดลง

  • การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินไป

สามารถทำให้เกิดผลที่เสียต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะถ้ามีการบริโภคอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูงเป็นประจำ การบริโภคน้ำตาลจำนวนมากจะทำลายโครงสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของผิวหนัง นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้เกิดสารอนุมูลอิสระที่ส่งผลกระทบต่อผิวหนัง ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่นและเริ่มแสดงอาการหย่อนคล้อย รวมถึงเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น

  • ระมัดระวังแสงแดดและมลภาวะ

ผิวหนังของเราต้องเผชิญกับการสัมผัสแสงแดดและมลภาวะต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักในการเกิดริ้วรอยบนผิวหนัง ผิวพรรณจึงดูโทรม การสัมผัสกับรังสียูวี (UV) สามารถทำลายเส้นใยคอลลาเจนและอินาสตินภายในผิวหนังได้ ทำให้ผิวหนังเสื่อมสภาพและ ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น ในผลลัพธ์ที่แสดงออกมาคือผิวหนังที่หย่อนคล้อยและมีริ้วรอยเพิ่มขึ้น เพื่อปกป้องผิวหนังจากผลกระทบของรังสียูวีและมลภาวะ

จึงควรใช้ครีมกันแดดที่มีปัจจัยป้องกันรังสียูวี เลือกสารกันแดดที่มีตัวกรองแสงแดดทั้ง UVA และ UVB รวมถึงใส่ให้ครอบคลุมทั่วทั้งผิวหนังตลอดวัน เพื่อลดการสัมผัสรังสียูวีที่เข้ามายังผิวหนัง อีกทั้งควรป้องกันมลภาวะโดยเลือกสถานที่ที่มีคุณภาพอากาศดี เช่น หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีควันและมลภาวะจากการจราจรอุตสาหกรรม เป็นต้น

นอกจากนี้ ควรดูแลสุขภาพโดยรวมด้วยการบริโภคอาหารที่มีสารอาหารสมบูรณ์และออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมการผลักฟื้นผิวหนัง อย่างไรก็ตามการดูแลผิวหนังควรเป็นเรื่องที่ต้องดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับประเภทผิวและสภาพผิวของเราเอง

  • การสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มที่แอลกอฮอล์

ผิวหนังของเราสามารถเสียหายได้จากการดื่มเครื่องดื่มที่แอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ได้ การสูบบุหรี่เป็นการกระตุ้นกระบวนการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิวหนัง เนื่องจากมีผลในการลดปริมาณเลือดที่ไหลไปยังผิวหนัง ส่งผลให้ผิวหนังยากต่อการอัพเดทเซลล์และเสื่อมสภาพได้โดยเร็ว การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ผิวหนังขาดน้ำและมีความแห้งขึ้น การบริโภคแอลกอฮอล์ส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำและมีผลต่อการส่งเสริมการเกิดริ้วรอย

หากต้องการปกป้องผิวหนังจากผลกระทบของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ ควรลดหรือหยุดการบริโภคทั้งสองอย่างนี้ อีกทั้งควรดื่มน้ำเพียงพอตามความต้องการของร่างกาย และใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหนังที่ช่วยคืนความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง การดูแลผิวหนังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการเกิดริ้วรอยและช่วยให้ผิวหนังของเราแข็งแรงและสดใสในระยะยาว

  • การพักผ่อนให้เพียงพอและระวังเรื่องความเครียด

เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะความเครียด จะมีการปล่อยสาร คอร์ติซอล (Cortisol) ออกมา สารชนิดนี้สามารถทำลายคอลลาเจนภายใต้ผิวหนังให้มีการผลิตน้อยลง นั่นเป็นเหตุผลที่คนที่มีระดับความเครียดสูงมักจะดูแก่กว่าวัย พร้อมกับผิวหนังที่แย่ลงและ มีริ้วรอยเกิดขึ้นได้ง่าย มากกว่าคนที่มีอารมณ์ดีและไม่มีเรื่องให้ต้องเครียด

และการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ย่อมทำให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น ผลทั้งหมดนี้ทำให้ผิวหนังดูหมองคล้ำ หน้าตาไม่สดใส และเมื่อการพักผ่อนไม่เพียงพอตลอดเวลานานตัวร่างจะเสื่อมสภาพไปอย่างรวดเร็ว ผลของสภาวะนี้จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมาก

การรักษาสุขภาพผิวที่ดีต้องให้ความสำคัญกับการลดความเครียดในแต่ละวัน และให้เวลาพักผ่อนเพียงพอตามความต้องการของร่างกาย อย่าลืมดูแลสไตล์การดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีคอลลาเจนและสารอาหารที่สำคัญ เช่น วิตามินซีและสังกะสี ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวหนังได้

อาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน

อาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน

ผิวหนังต้องการ คอลลาเจน เพื่อความสมดุลและความเป็นปกติ หากขาดคอลลาเจนอาจเกิดปัญหาทางผิวหลายอย่าง เช่นผิวเหี่ยวย่น ริ้วรอย ขาดความตึงตัว ผิวแห้ง และฝ้า ดังนั้นเราควรบำรุงและสร้างคอลลาเจนให้ผิวไม่ขาดสารสำคัญนี้ วิธีหนึ่งคือการบริโภคอาหารที่มีคอลลาเจนสูง รวมถึงการบริโภคผลไม้ที่มีคอลลาเจนธรรมชาติ และนี่คืออาหารที่จะช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้กับร่างกาย

1. ถั่วเหลือง

ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากถั่วเหลืองและชีสมีสารชื่อว่า เจนิสติน (genistein) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ไอโซฟลาโวน มีบทบาทในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยให้ผิวกระชับและตึงตัว อีกทั้งยังช่วยป้องกันการทำลายผิวจากเอนไซม์ที่เสียหายที่อาจทำให้ผิวหย่อนคล้อยและมีริ้วรอยได้

2. ผักใบเขียว

ผักใบเขียวเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูง และเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวหนัง บางชนิดอาจมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่าลูติน การวิจัยจากฝรั่งเศสแนะนำให้รับประมาณ 10 กรัมของลูตินต่อวัน เทียบเท่ากับการบริโภคผักโขมปริมาณ 1.1 กิโลกรัมหรือผักเคลปริมาณ 0.5 กิโลกรัม การบำรุงผิวด้วยลูตินอาจช่วยให้ผิวเรียบเนียนและลดริ้วรอยของวัยลงได้

3. ถั่วชนิดต่างๆ

การบริโภคถั่วเป็นอาหารที่มีประโยชน์สำหรับผิวหนัง เช่นถั่วลิสง ถั่วเหลือง และถั่วลันเตา เป็นแหล่งที่มาของกรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) ซึ่งเป็นสารสำคัญในกระบวนการชะลอริ้วรอยของวัย การบริโภคถั่วเหล่านี้เป็นประจำ โดยรับประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน จะช่วยกระตุ้นร่างกายให้สร้างคอลลาเจนเพื่อการบำรุงผิวที่ดูแลและดูแลมากขึ้น

4. ผักและผลไม้ที่มีสีแดง

ผักและผลไม้สีแดงมีความสำคัญสูงในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง นอกจากนี้ไลโคปีนที่มีอยู่ในพวกเขายังมีบทบาทเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัยและเพิ่มความแข็งแรงของเซลล์ผิวหนัง บางผักและผลไม้สีแดงที่มีไลโคปีนสูงได้แก่ มะเขือเทศ พริกหยวกแดง บีท แครอท และสวีทโปเตโต้ ซึ่งควรรับประทานเป็นประจำ

5. วิตามินซี

ผลไม้เช่นส้ม มะนาว ฝรั่ง และสตรอว์เบอร์รีมีประโยชน์มากจากวิตามินซีที่อุดมไปด้วย วิตามินซีช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง และเสริมความแข็งแรงของเซลล์ผิวอีกด้วย การบริโภคผลไม้เหล่านี้เป็นทางเลือกที่ดีในการดูแลผิวหนังของเรา

6. ลูกพรุน

อนุมูลอิสระเป็นตัวการที่สามารถทำลายความเต่งตึงของผิวหนังได้ สารต้านอนุมูลอิสระเป็นสิ่งที่สามารถต่อกรกับอนุมูลอิสระได้ ผลไม้ที่มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูงมากคือลูกพรุน และบลูเบอร์รี ดังนั้นการบริโภคลูกพรุนและบลูเบอร์รีอย่างน้อย 5-6 ลูกต่อวันจะช่วยให้ผิวพรรณเป็นอย่างใสและเรียบเนียนได้

7. กรดไขมันโอเมก้า

โอเมก้าเป็นแหล่งที่มาของคอลลาเจนจากธรรมชาติที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง มันช่วยเติมเต็มร่องลึกของเซลล์ผิวที่ถูกทำลายโดยปัจจัยอื่น ๆ ในร่างกาย อาหารที่เราสามารถได้รับกรดไขมันโอเมก้าได้แก่เมล็ดแฟลกซ์ซีด แซลมอน ปลาทูน่า อะโวคาโด มะม่วงหิมพานต์ และอัลมอนด์

8. ดาร์กช็อกโกแลต

การวิจัยจากเยอรมนีได้ยืนยันว่า ดาร์กช็อกโกแลตไม่เสี่ยงต่อผิวหนังและสามารถช่วยบำรุงผิวได้อย่างที่ไม่คาดคิด ดาร์กช็อกโกแลตมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงและมีปริมาณเพียงพอในการสนับสนุนการสร้างคอลลาเจนและลดริ้วรอยของวัยที่เกิดขึ้นในผิวหนัง

9. กระดูกอ่อน

กระดูกอ่อนของหมูและไก่มีส่วนประกอบของคอลลาเจนรวมกับโปรตีนอยู่เช่นกัน คุณสามารถเห็นคอลลาเจนในน้ำต้มกระดูกอ่อนที่เย็นเพราะเป็นส่วนลอยอยู่เหนือน้ำต้มกระดูกที่เหลือในรูปของวุ้นลอยอยู่

10. ชาขาว

ารวิจัยจากมหาวิทยาลัยคิงส์ตันพบว่าชาขาวไม่เพียงแต่มีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างอุดมไปด้วย แต่ยังเป็นแหล่งของโปรตีนที่เหมือนกับโปรตีนที่มีอยู่ในเซลล์ผิว โดยเฉพาะคอลลาเจนซึ่งมีบทบาทในการต้านเอนไซม์ที่ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยได้อย่างไร้ปัญหา

11. หอยนางรม

อาหารที่รสชาติน่ากินจะอร่อยไม่ว่าจะกินเองหรือเล่นก็ดี หอยนางรมไม่ใช่เพียงยาโด๊ปเท่าที่คิด แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการที่สำคัญอีกด้วย หอยนางรมมีธาตุสังกะสีและกรดอะมิโนที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างคอลลาเจน นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็กและวิตามิน B2 ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกมากมาย

12. สาหร่ายทะเลทุกชนิด

สาหร่ายทะเลมีส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเส้นใยคอลลาเจน เช่นไฮยาลูโรนิก ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สาหร่ายทะเลเป็นพืชที่มีคอลลาเจนมากๆ ดังนั้น หากต้องการผิวที่มีความผุดผ่องและกระชับ ควรใส่ใจไม่ควรพลาดที่จะบริโภคสาหร่ายทะเลเสมอ

13. เห็ดทุกชนิด

เห็ดมีโปรตีนอยู่ในทุกชนิดและมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนให้กับผิวได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ก็ยังช่วยลดริ้วรอยก่อนวัยได้อีกด้วย

14. มะพร้าว

น้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สำคัญสำหรับการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เพื่อช่วยให้ผิวกระชับและยืดหยุ่น ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้ น้ำมะพร้าวยังมีคุณสมบัติเป็นตัวขับปัสสาวะ ช่วยขับออกสารพิษหรือของเสียออกจากร่างกาย เหมือนการทำดีท็อกซ์ ซึ่งช่วยให้ผิวพรรณมีความผ่องใสและสดชื่น

การเสื่อมสภาพตามอายุของคอลลาเจน

  • เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุระหว่าง 30-39 ปี จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงบนผิวหน้าบางอย่าง เริ่มจากการปรากฏสัญญาณของรอยริ้วรอยที่แสดงออกที่หน้าผาก มีรอยย่นที่ยาวขึ้น พบได้ที่ขอบตาล่างและหางตาเมื่อเรายิ้ม นอกจากนี้ยังมีรอยย่นที่เกิดขึ้นตรงกลางคิ้ว ซึ่งจะมองเห็นชัดเจนเมื่อหน้าหุ่นดี อาจมีรอยย่นบางส่วนที่แก้มและขอบปาก อาจพบรอยย่นที่กระ ฝ้า อาจเป็นรอยย่นลึกหรือรอยย่นตื้น รวมถึงรูขุมขนขนาดใหญ่ที่อาจเห็นชัดขึ้นได้
  • เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุระหว่าง 40-49 ปี จะเห็นการเกิดรอยย่นบนหน้าผาก ระหว่างคิ้ว ใต้ขอบตาล่าง และหางตาที่มองเห็นชัดเจนมากขึ้น รอยย่นข้างแก้มและร่องแก้มจะลึกลงไปจนถึงมุมปาก นอกจากนี้ยังมีฝ้าที่เกิดขึ้นในระดับลึกมากขึ้น สภาพผิวหน้าเริ่มแห้งลง มีรูขุมขนที่ใหญ่ขึ้น และมีการเกิดสิวอีกครั้ง อีกทั้งยังมีการเพิ่มมูลเหลวในเนื้อเยื่อภายใต้ผิวหนัง ซึ่งปรากฏเป็นตุ่มเล็กๆ ที่มีสีน้ำตาล สภาวะนี้เป็นสัญญาณของวัยเริ่มตกกระ
  • เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุระหว่าง 50-64 ปี สภาพผิวหน้าจะคล้ายกับวัย 40-49 ปี โดยจะมีรอยย่นที่ลึกลงไปตามร่องแก้มที่ยาวมาจนถึงบริเวณใต้มุมปาก นอกจากนี้ยังมีการเกิดฝ้าและติ่งเนื้อที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เกิดจากคอลลาเจนที่เริ่มเสื่อมสภาพลงอย่างมากและส่งผลกระทบให้ผิวหนังเสื่อมสภาพไปเร็วขึ้น
  • เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผิวหนังจะเริ่มแสดงสัญญาณของการเกิดความเสื่อมสภาพแบบหยาบกร้าน มีริ้วรอยที่กระจัดกระจายทั่วหน้าและริมฝีปาก บางครั้งอาจพบรอยย่นที่เหนือริมฝีปากด้วย ส่วนการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ จะคล้ายกับวัย 50-64 ปี สรุปว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับทุกคนโดยไม่สามารถหยุดยั้งได้

อย่างไรก็ตาม เราสามารถช่วยลดความเสื่อมสภาพของผิวและรักษาผิวให้ดูดีนานขึ้นได้ โดยใช้สารสกัดโปรตีนคอลลาเจนเพื่อช่วยเพิ่มคอลลาเจนในผิวที่สูญเสียไป ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถหยุดยั้งกระบวนการเสื่อมสภาพได้ การดูแลผิวหนังอย่างถูกวิธีและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ผิวดูดีและยังคงมีความสมบูรณ์ได้ในระยะยาว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *