กินคอลลาเจน อย่างไรให้ได้ ประโยชน์ คอลลาเจนกินตอนไหนได้ผลดี

กินคอลลาเจน อย่างไรให้ได้ ประโยชน์

ปฏิเสธไม่ได้ว่า คอลลาเจน (Collagen) เป็นสารที่นิยมและใช้งานมากในการดูแลผิวพรรณมาอย่างยาวนาน ด้วยส่วนประกอบที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและเนียน ผลิตภัณฑ์คอลลาเจนสามารถใช้ภายนอกและภายในเพื่อเสริมและทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไปเมื่อเราเพิ่มอายุ ทีนี้เรามารู้จักการ กินคอลลาเจน อย่างไรถึงจะได้ประโยชน์ และอาหารที่ประกอบด้วยคอลลาเจนและวิธีที่เหมาะสมในการบริโภคเพื่อสุขภาพร่างกาย

อาหารที่มีคอลลาเจนปรากฏอยู่ในหลายชนิด เช่น เนื้อปลา หมู ไก่ และเนื้อวัว นอกจากนี้ยังมีอาหารอื่น ๆ เช่น น้ำตาลงา ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มีคอลลาเจนสูง และช่วยบำรุงผิวและเสริมความยืดหยุ่นให้กับผิวการบริโภคคอลลาเจนให้เหมาะสมต่อร่างกายสามารถทำได้โดยรับประทานอาหารที่มีคอลลาเจนอย่างเพียงพอ และรักษาระดับคอลลาเจนในร่างกายโดยการดูแลสุขภาพทั่วไป เช่น การออกกำลังกาย และการดื่มน้ำเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้ผิว

เนื้อหา

คอลลาเจนคืออะไร ช่วยในเรื่องอะไร

คอลลาเจน (Collagen) เป็นเส้นใยโปรตีนที่มีบทบาทในการยึดส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเข้าด้วยกัน มีส่วนสำคัญในการสร้างผิวหนัง ขน และเส้นผม รวมถึงกระดูกอ่อน ข้อต่อ กระดูก กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด นอกจากนี้ เนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายก็มีคอลลาเจนอยู่ด้วย เช่น เส้นเอ็น กระดูก และหลอดเลือด คอลลาเจนสามารถสร้างขึ้นในร่างกายได้เองตามธรรมชาติ โดยการทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ปลา พืช หรือผลิตภัณฑ์จากนม เมื่อถูกย่อยสลายและก่อตัวขึ้นใหม่ จะกลายเป็นเส้นใยโปรตีนหรือคอลลาเจน ซึ่งมีบทบาทในการเพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นให้กับอวัยวะภายในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น ยืดหยุ่น คงความกระชับ เต่งตึง เรียบเนียน และปกป้องความแข็งแรงของกระดูกอ่อน แต่ปริมาณการสร้างคอลลาเจนจะลดลงเมื่อเพิ่มอายุ โดยเฉพาะคนที่มีอายุมากกว่า 30 ปี ซึ่งอาจส่งผลให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพหรือถูกทำลายได้ง่ายโดยปริมาณการสังเคราะห์ลดลง

คอลลาเจนมีประโยชน์อย่างไร

คอลลาเจนจะไม่มีประโยชน์เพียงแค่สำหรับผิวพรรณเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อด้านอื่นอีกมากมายที่คุณอาจไม่รู้ เนื่องจากคอลลาเจนที่มีอยู่ในร่างกายมนุษย์มีมากกว่า 29 ชนิด แต่ละชนิดมีหน้าที่ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผิวหนัง กล้ามเนื้อ หลอดเลือด เนื้อเยื่อ กระดูก ข้อต่อ และอื่น ๆ ซึ่งสรุปประโยชน์ของคอลลาเจนได้ดังนี้

1.ช่วยลดฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง

  • คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญในผิวหนัง ซึ่งมีปริมาณคอลลาเจนมากถึง 75 %
  • คอลลาเจนชนิดที่ 1 เป็นคอลลาเจนที่มีความแข็งแรงและเหนียวมากที่สุด
  • คอลลาเจนช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและลดริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ

2.ช่วยในเรื่องกระดูกอ่อนและข้อต่อ

  • คอลลาเจนชนิดที่ 2 เป็นคอลลาเจนที่พบมากในกระดูกอ่อนและข้อต่อ
  • มีหน้าที่ลดการสึกหรอของกระดูกอ่อนและเสริมความแข็งแรงของกระดูกข้อต่อ
  • ช่วยลดอาการบาดเจ็บและปวดข้อ และช่วยส่งเสริมการฟื้นฟูของข้อต่อที่มีปัญหา

3.ช่วยในเรื่องสุขภาพหัวใจ

  • คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบของผนังหลอดเลือดแดง
  • ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรงและทำงานอย่างปกติ
  • หากขาดคอลลาเจนหรือมีคอลลาเจนไม่เพียงพอ อาจทำให้หลอดเลือดแดงเปราะบางและเกิดการตีบตันได้

4.ช่วยสมานแผล

  • คอลลาเจนสามารถช่วยรักษาบาดแผลและสมานแผลที่ผิวหนัง
  • ช่วยลดอักเสบและกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ทดแทนเนื้อเยื่อที่สูญเสียไป
  • ช่วยให้บาดแผลหายได้เร็วขึ้น

5.ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อประสาท

  • คอลลาเจนช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อส่วนประสาท
  • ช่วยลดการเสื่อมของระบบประสาทและความผิดปกติของเซลล์ประสาท
  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณเซลล์ประสาท
ประเภทของคอลลาเจน

ประเภทของคอลลาเจนที่พบได้บ่อยในร่างกาย

  • คอลลาเจนชนิดที่ 1 ( collagen type i ) เป็นประเภทของคอลลาเจนที่พบมากที่สุดในร่างกายโดยมีปริมาณถึง 90 % ของคอลลาเจนทั้งหมดในร่างกาย คอลลาเจนประเภทนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างกระดูก ผนังของหลอดเลือด อนุจจา เอ็นและเอ็นยึดกล้ามเนื้อ ผิวหนัง กระจกตา และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มีความเหนียวและแข็งแรงมากที่สุดในคอลลาเจนทั้งหมด คอลลาเจนประเภทนี้มีบทบาทสำคัญในเรื่องของการเพิ่มความยืดหยุ่น ป้องกันเนื้อเยื้อไม่ให้เกิดการฉีกขาด และช่วยสมานแผลบนผิวหนังได้อย่างดี ดังนั้น ผิวหนังของบุคคลที่มีปริมาณคอลลาเจนประเภทนี้เพียงพอจะมีลักษณะสวย เนียน และไม่มีริ้วรอยสักนิด
  • คอลลาเจนชนิดที่ 2 ( collagen type ii ) พบมากในกระดูกอ่อน เช่น ส่วนประกอบของหู จมูก หลอดลม และกระดูกซี่โครง คอลลาเจนประเภทนี้มีบทบาทที่แตกต่างจากคอลลาเจนประเภทที่ 1 โดยการกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสังเคราะห์เซลล์ที่มีปริมาณมากขึ้น เพื่อลดอัตราการเสื่อมของกระดูกอ่อนในข้อต่อ คอลลาเจนประเภทที่ 2 เป็นส่วนประกอบสำคัญในกระดูกอ่อนและหมอนรองกระดูกสันหลัง เพื่อรองรับน้ำหนักและเพิ่มความแข็งแรงให้กับข้อต่อในระหว่างการเคลื่อนไหว ประกอบด้วยเส้นใยคอลลาเจนไทป์ทู ร่วมกับกรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic acid) และโปรตีโอไกลแคน (Proteoglycan) เช่น แอกกริแคน (Aggrecan) ที่ประกอบด้วยไกลโคอะมิโนไกลแคน (Glycoaminoglycans) เช่น คอนโดอิติน ซัลเฟต (Chondroitin Sulfate) และเคอราแทน ซัลเฟต (Keratan Sulfate) การศึกษาพบว่าในรายบุคคลที่น้ำหนักมากหรือมีอายุสูง กระดูกอ่อน ชนิด นี้ที่เรียกว่าหลอดเลือดซี่โครงสามารถเสื่อมลงได้เมื่อมีแรงกระแทก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อต่อที่รับน้ำหนักมาก เช่น ข้อเข่าและสะโพก ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะการเกิดข้อเสื่อม และอาจเป็นสาเหตุของโรคข้ออักเสบ (Osteoarthritis)
  • คอลลาเจนชนิดที่ 3 ( collagen type iii ) เป็นคอลลาเจนที่พบร่วมกับคอลลาเจนประเภทที่ 1 ในหลายส่วนของร่างกาย เช่น ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และผนังหลอดเลือด นอกจากนี้ยังพบในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในร่างกาย การปรากฏของคอลลาเจนประเภทนี้ร่วมกับคอลลาเจนประเภทที่ 1 นั้นมักเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าประมาณ 10% โดยมักพบคอลลาเจนประเภทนี้ในผนังหลอดเลือดอย่างหลัก แต่พบอยู่น้อยในข้อต่อต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างจากคอลลาเจนชนิดที่ 2
  • คอลลาเจนชนิดที่ 4 ( collagen type iv ) เป็นคอลลาเจนที่พบในชั้น basal lamina และ basement membrane ที่เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อส่วนของชั้นที่ถูกสร้างขึ้นโดยเซลล์เอพิเธเลียม คอลลาเจนประเภทนี้มีคุณสมบัติที่แตกต่างออกไป และพบมากในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันกับกล้ามเนื้อและไขมัน นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการสนับสนุนระบบประสาทและเส้นเลือดอีกด้วย
  • คอลลาเจนชนิดที่ 5 ( collagen type v ) คือคอลลาเจนที่มีบทบาทในการสร้างเยื่อบุเซลล์ต่าง ๆ ซึ่งพบในผิวเซลล์และเส้นผม คอลลาเจนประเภทนี้มีคุณสมบัติเฉพาะที่ช่วยให้เนื้อบุเซลล์มีความเรียงตัวและรักษาความแข็งแรงให้กับเส้นผม

กินคอลลาเจน ตอนไหน ให้ได้ผลดี

บางครั้งคนอาจพบว่าการ กินคอลลาเจน ไม่ได้ผลเท่าที่คาดหวัง สาเหตุอาจมาจากการไม่ทานคอลลาเจนในช่วงเวลาที่เหมาะสมซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการดูดซึมคอลลาเจนในร่างกายลดลง อย่างไรก็ตามไม่ต้องกังวล เพราะเราจะแนะนำว่าคอลลาเจนควรทานเมื่อไหร่ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

กินคอลลาเจน ทันทีหลังตื่นนอน

เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการรับประทานคอลลาเจนคือในช่วงเช้าหลังจากการตื่นนอน เพราะในช่วงเวลานั้นร่างกายยังไม่ได้รับประทานอาหารเป็นเวลานานที่สุด จึงทำให้ท้องว่าง การรับประทานคอลลาเจนทันทีหลังจากตื่นนอนจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และส่งผลให้คอลลาเจนทำงานได้อย่างเต็มที่

เลือก กินคอลลาเจน ตอนท้องว่าง

ถ้าลืมกินคอลลาเจนในตอนเช้า การบริโภคคอลลาเจนที่เหมาะสมที่สุดคือในช่วงเมื่อท้องยังว่างอยู่ ในช่วงเวลานี้ท้องว่างจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อประโยชน์ที่ดีที่สุดต่อร่างกาย การบริโภคคอลลาเจนในช่วงท้องว่างเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายได้รับคอลลาเจนในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและบำรุงผิวพรรณให้สุขภาพดีขึ้น

นอกจากนี้ยังสามารถรับประทานคอลลาเจนก่อนนอนหรือหลังมื้ออาหารเย็นได้ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่ การเลือกปริมาณคอลลาเจนที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ โดยปกติแล้วร่างกายควรได้รับคอลลาเจนประมาณ 2.5 – 5 กรัมต่อวัน อย่างไรก็ตามควรระมัดระวังในการบริโภคคอลลาเจนมากเกินไป เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้น ควรทานคอลลาเจนในปริมาณที่เหมาะสม

คอลลาเจนกับการเสื่อมตามอายุ

  • เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 30-39 ปี ผิวหน้าจะเริ่มแสดงอาการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง สัญญาณของการเกิดริ้วรอยเริ่มปรากฏที่บริเวณหน้าผากโดยมีรอยย่นที่มีความยาวเพิ่มขึ้น เป็นรอยเล็กๆ พบที่ขอบตาล่างและหางตาเมื่อเรายิ้ม นอกจากนี้ ยังเป็นสัญญาณแสดงรอยย่นที่เกิดตรงกลางคิ้ว ซึ่งจะมองเห็นชัดเจนเมื่อหน้าที่กำลังดีงาม อาจมีรอยย่นบางส่วนที่รองแก้มและขอบปาก อาจเกิดการเป็นไฝขนาดเล็กๆ รวมถึงรอยย่นที่กระ ฝ้า เช่น รอยย่นลึกและรอยย่นตื้น รูขุมขนขนาดใหญ่อาจเห็นชัดขึ้นได้
  • เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 40 -49 ปี จะเห็นการเกิดรอยย่นบนหน้าผาก ระหว่างคิ้ว ใต้ขอบตาล่าง และหางตาที่เป็นรอยย่นที่มองเห็นชัดเจนมากขึ้น รอยย่นข้างแก้มและร่องแก้มจะลึกลงไปจนถึงมุมปาก อีกทั้งยังมีฝ้าที่เกิดขึ้นในระดับลึกมากขึ้น สภาพผิวหน้าเริ่มแห้งลง มีรูขุมขนที่ใหญ่ขึ้น และมีการเกิดสิวอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มมูลเหลวในเนื้อเยื่อภายใต้ผิวหนัง ซึ่งปรากฏเป็นตุ่มเล็กๆ และมีสีน้ำตาล สภาวะนี้เรียกว่าวัยเริ่มตกกระ
  • เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 50-64 ปี สภาพผิวหน้าจะคล้ายกับวัย 40-49 ปี โดยแต่จะมีรอยย่นที่ลึกลงไปตามร่องแก้มที่ยาวมาจนถึงบริเวณใต้มุมปาก ยังมีการเกิดฝ้าและติ่งเนื้อที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจากคอลลาเจนเริ่มเสื่อมสภาพลงเป็นอย่างมาก
  • เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผิวหนังจะเริ่มแสดงสัญญาณของการเกิดความเสื่อมสภาพแบบหยาบกร้าน มีริ้วรอยที่กระจัดกระจายทั่วหน้าและริมฝีปาก บางครั้งอาจพบรอยย่นที่เหนือริมฝีปากด้วย ส่วนการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ จะคล้ายกับวัย 50-64 ปี สรุปว่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับทุกคนโดยไม่สามารถหยุดยั้งได้ อย่างไรก็ตาม เราสามารถช่วยลดความเสื่อมของผิวและรักษาผิวให้ดูดีนานขึ้นได้ โดยการใช้สารสกัดโปรตีนคอลลาเจนเพื่อช่วยเพิ่มคอลลาเจนในผิวที่สูญเสียไป

ปัญหาที่เกิดจากคอลลาเจนเริ่มเสื่อม

เมื่อคอลลาเจนในร่างกายเสื่อมลง อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายก็เสื่อมลงตามไปด้วย ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อสุขภาพและผิวพรรณของเราในหลาย ๆ ด้าน

  • ผิวพรรณจะเสื่อมสภาพเมื่อคอลลาเจนลดลง จึงทำให้ผิวหนังของเราเสื่อมคุณภาพ มีความขรุขระ หยาบกร้าน ขาดความชุ่มชื้น ไม่เรียบเนียน ไม่มีความยืดหยุ่น และมีริ้วรอยหรือคลื่นร่วงหย่อนตามมา ทั้งในบริเวณร่องแก้ม รอยใต้ตา รอยตีนกาในร่างกาย รวมถึงรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นในส่วนต่าง ๆ ของผิวหนัง
  • คอลลาเจนยังมีบทบาทสำคัญกับกระดูกและข้อต่อ โดยเฉพาะคอลลาเจนประเภทที่ 2 ซึ่งปราศจากมากถึง 90% ของคอลลาเจนทั้งหมดในร่างกาย เมื่อคอลลาเจนลดลง ส่งผลให้เกิดปัญหาที่กระดูกและข้อต่อ เช่น ปวดในข้อกระดูกต่าง ๆ เมื่อเคลื่อนไหว หรือมีเสียงกรอบแกรบเมื่อใช้งานข้อต่าง ๆ
  • คอลลาเจนยังมีส่วนสำคัญในการรักษาความแข็งแรงของเส้นผมและความแข็งแรงของเล็บ เมื่อคอลลาเจนขาดสภาพ ผมจะเสียเส้นเล็กลง และเกิดปัญหาผมหย่อนคล้อย แห้งเสีย แตกหัก ขาดความนุ่มนวลและความเงางาม นอกจากนี้ เล็บที่ขาดคอลลาเจนจะอ่อนแอ ง่ายในการฉีก และผิวในบริเวณริมนิ้วเล็บอาจแห้งกร้านและลอกเป็นขุย มีความขาดความชุ่มชื้น

ดังนั้น เราควรให้ความสำคัญและดูแลระดับคอลลาเจนในร่างกายอย่างเหมาะสม อาหารที่รวมถึงโปรตีนสูง ผลไม้ที่เสริมคอลลาเจน เช่น ส้มสาลีและสตรอว์เบอร์รี่ ผักเขียวเข้ม เช่น ซับซ้อนและผักบุ้ง อาหารที่มีวิตามิน C สูง เช่น พริกหยวก กระเทียมและแตงกวา จะช่วยส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย

นอกจากนี้เรายังควรรักษาสภาพแวดล้อมและลดปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อคอลลาเจน เช่น หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และใช้สิ่งกีดขวางแสงแดดอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ การดูแลผิวหนังในรูปแบบที่เหมาะสมเช่นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบที่ช่วยเสริมคอลลาเจน นวดและบำรุงผิวแบบเหมาะสม จะช่วยให้รักษาระดับคอลลาเจนในร่างกายและผิวพรรณให้คงทนได้ในระยะยาว

สัญญาณที่บ่งบอกถึงการลดลงของคอลลาเจนในร่างกาย

ผิวหนังจะแสดงภาวะที่มีริ้วรอยและหย่อนคล้อยเกิดขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณรอบดวงตาและแก้มที่มีการเสื่อมสภาพเรียกว่า facial hollowing นอกจากนี้ยังมีอาการปวดกล้ามเนื้อและกล้ามเนื้อที่ฝ่อและอ่อนแรง เอ็นยังมีความยืดหยุดลง โรคข้อกระดูกอ่อนเสื่อมหรือ Osteoarthritis เกิดขึ้นเนื่องจากการใช้งานกระดูกอ่อนจนเสื่อมสภาพ การเคลื่อนไหวลดลงเนื่องจากข้อฝืดแข็งหรือเสียหาย นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการไหลเวียนโลหิตและระบบทางเดินอาหารที่เป็นปัญหาเนื่องจากเยื่อบุทางเดินอาหารบางลง

พฤติกรรมที่ส่งผลทำให้คอลลาเจนในร่างกายลดลง

เพื่อป้องกันคอลลาเจนในร่างกายไม่สูญสลาย คุณควรปรับปรุงพฤติกรรมตามที่ต่อไปนี้:

  1. ลดการบริโภคน้ำตาล: การบริโภคน้ำตาลเกินไปอาจเป็นส่วนที่ทำให้เกิดกระบวนการไกลเคชั่น (AGEs) ที่ทำลายคอลลาเจนในร่างกาย ดังนั้น ควรลดการบริโภคน้ำตาลและอาหารคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี
  2. เลิกสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ลดความสามารถในการผลิตคอลลาเจนในร่างกาย และทำให้ผิวหนังเสียหายและเหี่ยวย่นได้ง่ายขึ้น ควรหยุดสูบบุหรี่เพื่อประโยชน์ในระยะยาวของผิวหนัง
  3. ระมัดระวังการสัมผัสแสงแดด: การสัมผัสแสงแดดมากเกินไปทำให้คอลลาเจนสลายตัวได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ แสงแดดยังลดการผลิตคอลลาเจนในร่างกาย ควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF 30 หรือสูงกว่า และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดในระดับที่เกินไป
  4. ความเครียด: เมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียด กระตุ้นการปลดปล่อยฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งมีผลต่อระดับคอลลาเจนในร่างกาย สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดการสูญเสียคอลลาเจนและมีอันตรายต่อร่างกาย นอกจากนี้ ความขาดการพักผ่อนที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับไม่เพียงพอยังเป็นสาเหตุให้ร่างกายปลดปล่อยฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เป็นพิษออกมาเพิ่มขึ้น
  5. พักผ่อนไม่เพียงพอ: การพักผ่อนไม่เพียงพออาจส่งผลต่อสุขภาพผิวของคุณ การนอนน้อยและขาดการพักผ่อนสม่ำเสมออาจทำให้ร่างกายปล่อยฮอร์โมนคอร์ติซอลที่ทำลายคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเสื่อมสภาพ มีริ้วรอย และส่งผลให้ดวงตา ตีนกา และหน้าผากเหี่ยวย่นได้ ผิวหนังอาจไม่เรียบเนียนและมีริ้วรอยปรากฏบนใบหน้าได้
  6. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนังเสื่อมสภาพได้ นอกจากนี้ยังทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น หย่อนคล้อย และเหี่ยวย่นได้

วิธีการป้องกันการลดลงของคอลลาเจน

เราสามารถป้องกันการลดลงของคอลลาเจนในร่างกายได้ด้วยวิธีต่อไปนี้:

  1. รักษาระดับออกซิเจนในร่างกาย: การออกกำลังกายและการหายใจอย่างต่อเนื่องช่วยเพิ่มการไหลเวียนออกซิเจนในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้เซลล์ผิวหนังสามารถผลิตคอลลาเจนได้อย่างเพียงพอ
  2. รักษาพฤติกรรมการดูแลผิวหนังที่ดี: การทาครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนสามารถช่วยบำรุงและปรับปรุงสภาพผิวหนังได้ นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการติดแสงแดดโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ร้อนและแดดจัด
  3. บริโภคอาหารที่รวมถึงคอลลาเจน: การบริโภคอาหารที่ประกอบด้วยโปรตีนคอลลาเจน เช่น เนื้อสัตว์ ฟิช สาหร่ายและผักใบเขียว สามารถช่วยเพิ่มปริมาณคอลลาเจนที่ร่างกายสามารถสร้างได้
  4. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน: การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีคอลลาเจน เช่น ครีมหน้าหรือเซรั่มที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน สามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในผิวหนังและช่วยปรับปรุงสภาพผิวได้
  5. ลดปัจจัยที่ส่งผลต่อคอลลาเจน: การลดการสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพ เช่น การลดการสัมผัสกับสารเคมีในสิ่งที่ใช้กับผิวหนัง และการป้องกันการสัมผัสกับแสงแดดที่ร้อนและเป็นอันตราย
  6. รับประทานอาหารเสริมคอลลาเจน: หากไม่สามารถรับคอลลาเจนจากอาหารได้เพียงพอ สามารถพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนเพื่อเสริมสร้างและรักษาคอลลาเจน
อาหารคอลลาเจน

อาหารที่ช่วยให้คอลลาเจนในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น

การรับประทานอาหารที่มีคอลลาเจนสูงไม่ใช่วิธีที่จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่ เพราะร่างกายมีกระบวนการเปลี่ยนคอลลาเจนให้เป็นกรดอะมิโน ดังนั้นเราควรรับประทานอาหารที่ส่งเสริมให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนอย่างเพียงพอ ตัวอย่างเช่น

  • การรับประทานวิตามิน C ที่มีในผลไม้ ได้แก่ สตรอว์เบอร์รี่ ส้ม มะนาว ฝรั่ง บรอกโคลี พริกหยวก และมันฝรั่ง
  • การรับประทานโปรลีนจากเห็ด หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี ข้าวสาลี ถั่วลิสง ไข่ขาว ปลา และเนื้อสัตว์
  • การรับประทานไกลซีนจากเนื้อแดง หนังไก่และหมู ไก่งวง กราโนล่า และถั่วลิสง
  • การรับประทานทองแดงจากหอยนางรม ล็อบสเตอร์ ตับ เห็ดชิตาเกะ ผักใบเขียว ถั่วและเมล็ดพืช เต้าหู้ และดาร์กช็อกโกแลต
  • การรับประทานสังกะสีจากหอยนางรม ผลิตภัณฑ์นม สัตว์ปีก หมู เนื้อแดง ถั่ว ถั่วลูกไก่ ธัญพืชเต็มเมล็ด บรอกโคลี และผักใบเขียว

การรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมที่สร้างคอลลาเจนเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานอาหารอื่นๆอีกด้วย เพื่อให้ได้โปรตีนและสารอาหารอื่นๆที่สำคัญสำหรับสุขภาพทั่วไปของร่างกายด้วย

กินคอลลาเจน ในแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

คอลลาเจนที่เป็นอาหารเสริมโดยปกติจะเป็นคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการย่อยให้มีสายสั้นลงหรือเรียกว่าไฮโดรไลซ์คอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen) ซึ่งมีขนาดอนุภาคที่เล็กลงและความยาวสายสั้นๆ โดยยิ่งมีขนาดเล็กเท่าใดยิ่งมีประสิทธิภาพในการดูดซึมมากเท่านั้น ซึ่งสามารถดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนทั่วไปมากถึง 3-4 เท่า โดยมี 3 ประเภทหลัก ได้แก่

  • คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen Peptide): เป็นคอลลาเจนที่มีลักษณะโมเลกุลเรียงต่อกันเป็นสายสั้นๆ บางครั้งเรียกว่าคอลลาเจนเปปไทด์สายสั้น ซึ่งมีขนาดโมเลกุลใหญ่เมื่อเทียบกับชนิดอื่น แม้จะสามารถดูดซึมได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อย แต่ก็ใช้เวลาในการดูดซึมช้ากว่าชนิดอื่น
  • คอลลาเจนไตรเปปไทด์ (Collagen Tripeptide): เป็นคอลลาเจนที่ถูกพัฒนาต่อจากคอลลาเจนเปปไทด์เพื่อให้มีขนาดโมเลกุลเล็กลงและง่ายต่อการดูดซึมมากยิ่งขึ้น และทำให้ร่างกายสามารถนำคอลลาเจนไปใช้ได้ทันที โดยคอลลาเจนไตรเปปไทด์นั้นจะถูกย่อยให้มีขนาดเหลือแค่โมเลกุลของกรดอะมิโน 3 ตัวเรียงต่อกันเท่านั้น
  • คอลลาเจนไดเปปไทด์ (Collagen Dipeptide): เป็นคอลลาเจนที่ถูกพัฒนาต่อจากคอลลาเจนไตรเปปไทด์ให้มีขนาดโมเลกุลที่เล็กลงอีก และดูดซึมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีขนาดโมเลกุลเพียงกรดอะมิโน 2 ตัวเรียงต่อกันเท่านั้น ทำให้สามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ไว และเข้าไปบำรุงผิวหนัง กระดูก ข้อต่อ เอ็น และส่งเสริมการทำงานของส่วนต่างๆ ในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen): คอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการย่อยเป็นไฮโดรไลซ์ เป็นคอลลาเจนที่ย่อยด้วยกรดจนได้ขนาดอนุภาคที่เล็กที่สุดซึ่งยังคงคุณสมบัติของคอลลาเจนอยู่ ประสิทธิภาพในการดูดซึมของคอลลาเจนไฮโดรไลซ์ขึ้นอยู่กับขนาดของอนุภาคเล็กน้อย ซึ่งดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนทั่วไปอย่างน้อย 3-4 เท่า

กินคอลลาเจน กับประโยชน์ในด้านการแพทย์

นอกเหนือจากประโยชน์ทางความงามเช่นการบำรุงและการป้องกันการเสื่อมสภาพของผิวหนังที่คอลลาเจนได้รับความนิยมมากการ กินคอลลาเจน ยังช่วยในเรื่องของอาการข้อเข่าเสื่อม เนื่องจากเรายังมีคอลลาเจนชนิดอื่นที่เรียกว่าคอลลาเจนชนิดที่ 2 (Collagen Type II) ซึ่งมีปริมาณสูงในเนื้อเยื่อกระดูกและข้อต่อของร่างกาย มีความเชื่อว่าอาจมีประโยชน์ในการรักษาอาการเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับโรคกระดูกหรือข้อต่อ อาการเจ็บหลังหลังการผ่าตัด หรืออาการปวดอื่น ๆ เช่น ปวดหลัง และ ปวดคอ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนี้เกี่ยวกับประโยชน์ด้านนี้ของคอลลาเจนชนิดที่ 2 ยังไม่เพียงพอต่อการยืนยันอย่างแน่ชัดโดยสิ้นเชิง

โรคข้อเสื่อม ได้รับความสนใจจากการทบทวนงานวิจัย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของคอลลาเจนชนิดนี้ในการรักษาโรคและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับข้อต่อ คอลลาเจนชนิดที่ 2 มีคุณสมบัติในการดูดซึมผ่านลำไส้และสะสมในกระดูกอ่อน ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการปวดและปรับปรุงสภาพข้อต่อให้ดีขึ้นกับผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม โรคหัวเข่าเสื่อม และโรคกระดูกเสื่อมได้อย่างปลอดภัยผลการศึกษานี้เป็นเพียงแนวทางที่ดีสำหรับการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อสรุปแนวทางการใช้คอลลาเจนในการรักษาโรคข้อเสื่อมได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษาอื่นเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลลัพธ์และหาวิธีการใช้ที่เหมาะสมที่สุดในอนาคต

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เกิดจากความผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดการอักเสบในเนื้อเยื่อหุ้มกระดูกข้อต่อ สารก่อภูมิต้านทานภายในข้อต่อเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในโรคนี้ คอลลาเจนชนิดที่ 2 เป็นโปรตีนหลักในเนื้อเยื่อหุ้มกระดูกอ่อนและสารก่อภูมิต้านทานที่สำคัญ การศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ของคอลลาเจนชนิดนี้เป็นเรื่องที่ผู้วิจัยสนใจ ผลการศึกษาในอดีตโดยใช้กลุ่มผู้ป่วยที่รุนแรงพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับคอลลาเจนชนิดที่ 2 เป็นเวลา 3 เดือนมีการลดอาการบวมและฟกช้ำในข้อต่อ ในขณะที่กลุ่มที่รับยาหลอกไม่เห็นผลลัพธ์และมีผู้ป่วย 4 คนจากทั้งหมด 60 คนที่รักษาอาการโรคได้อย่างครบถ้วน

การศึกษาถัดไปนี้มีการใช้อาสาสมัครในจำนวนมากขึ้น รวมทั้ง 274 คนที่ป่วยด้วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ซึ่งถูกแบ่งกลุ่มให้รับประทานคอลลาเจนชนิดที่ 2 ในปริมาณต่าง ๆ ทั้ง 20/100/500 หรือ 2500 ไมโครกรัมต่อวัน เป็นเวลา 24 สัปดาห์ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการรับประทานคอลลาเจนชนิดที่ 2 ในปริมาณ 20 ไมโครกรัมต่อวัน มีผลที่ดีในการรักษาและไม่พบผลข้างเคียงจากการใช้ อย่างไรก็ตาม การศึกษาที่ใช้เวลานานกว่านี้และให้ผู้ป่วย 60 คนรับประทานคอลลาเจนชนิดที่ 2 ในปริมาณวันละ 0.25 มิลลิกรัม ไม่พบการดีขึ้นจากการรักษา นั่นหมายถึงคอลลาเจนชนิดที่ 2 มีประโยชน์เล็กน้อยและประสิทธิภาพไม่เสถียรเสมอ ผลการศึกษาทั้งหมดนี้ยังมีข้อโต้แย้งและข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ยังไม่สามารถยืนยันสรรพคุณในการรักษาโรครูมาตอยด์ของคอลลาเจนชนิดที่ 2 ได้

อาการปวดต่าง ๆ ในร่างกาย คอลลาเจนชนิดที่ 2 กลายเป็นสารที่ได้รับความสนใจอย่างมากในการศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ทางสุขภาพของมัน เฉพาะเมื่อพูดถึงอาการปวดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น อาการปวดข้อหลังหลังการผ่าตัด อาการปวดหลังจากการบาดเจ็บ ปวดหลัง และปวดคอ งานวิจัยหนึ่งนำสมาชิกของสโมสรกีฬาในมหาวิทยาลัยจำนวน 147 คนมาเข้าร่วมทดลอง โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มที่รับประทานเครื่องดื่มขนาด 25 มิลลิลิตรที่ผสมคอลลาเจนชนิดที่ 2 ปริมาณ 10 กรัม และกลุ่มที่รับยาบางชนิด ทั้งสองกลุ่มได้รับการรักษาเป็นเวลา 24 สัปดาห์ติดต่อกัน

หลังจากสิ้นสุดการทดลอง พบว่านักกีฬาที่รับประทานเครื่องดื่มที่ผสมคอลลาเจนชนิดที่ 2 มีอาการปวดลดลงเล็กน้อย ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าคอลลาเจนชนิดนี้อาจมีประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพของข้อต่อและลดการเสื่อมของข้อต่อ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักกีฬาที่ต้องใช้งานข้อต่ออย่างหนักเป็นประจำ อย่างไรก็ตามงานวิจัยนี้มีขนาดเล็กและมีข้อจำกัดในการออกแบบวิธีการวิจัย ซึ่งอาจไม่สามารถสรุปผลในทางที่แน่ชัดได้ แม้กระนั้นผลลัพธ์นี้ก็เป็นแนวทางที่น่าสนใจสำหรับการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของคอลลาเจนชนิดที่ 2 ในการบรรเทาอาการปวดต่าง ๆ ในอนาคต

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *