คอลลาเจน คืออะไร ? ช่วยในเรื่องอะไร กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ ?

คอลลาเจนคือ

หบายๆคนอาจเคยสงสัยว่า คอลลาเจน คืออะไร เรามาไขข้อสงสัยกัน คอลลาเจนคือ โปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสร้างโครงสร้างของร่างกาย โดยเฉพาะ ผิวหนัง และอวัยวะภายใน คอลลาเจนช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น และรักษาความชุ่มชื่น นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการยึดติดรอบอวัยวะ เส้นผม และ เล็บ ด้วย การสร้างคอลลาเจนเป็นกระบวนการธรรมชาติในร่างกาย แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการลดลงของการสร้างคอลลาเจนเมื่อเราเติบโตขึ้น ทำให้เกิดความจำเป็นในการบำรุงและสร้างคอลลาเจนอย่างเต็มที่ วิธีการบำรุงคอลลาเจนนั้นให้ใช้วิธีภายในร่างกาย เช่น การบริโภคอาหารที่มีคอลลาเจนหรือสารอาหารที่ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจน

คอลลาเจนคือ เส้นใยโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่มีบทบาทสำคัญในการยึดส่วนต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งรวมถึงผิวหนัง ขน เส้นผม กระดูกอ่อน ข้อต่อ หลอดเลือด กล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังเป็นส่วนสำคัญในเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย คอลลาเจนสามารถสร้างได้ธรรมชาติในร่างกายของมนุษย์ แต่บางครั้งเราอาจต้องได้รับคอลลาเจนจากอาหารหรือผลิตภัณฑ์อื่น เมื่อมีการย่อยสลายโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ปลา พืช หรือผลิตภัณฑ์จากนมในร่างกาย เส้นใยโปรตีนหรือคอลลาเจนจะกลายเป็นคอลลาเจนใหม่ที่ช่วยเสริมความแข็งแรง เรียบเนียน และความยืดหยุ่นให้กับอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย

ส่วนเครื่องสำอางต่างๆ ที่เสนอให้เสริมคอลลาเจนนั้นมีผลกระทบจากภายนอก และมักจะไม่ส่งผลในการผลิตคอลลาเจนในร่างกายโดยตรง สำหรับคนที่มีอายุน้อย ร่างกายจะสามารถสร้างคอลลาเจนได้มาก แต่มีการลดลงเมื่อมาถึงวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีอายุมากกว่า 30 ปี พบว่าการสังเคราะห์คอลลาเจนลดลง หรือถูกทำลายได้ง่ายเมื่อเจอปัจจัยบางอย่างที่ส่งผลทำให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพ

สรรพคุณของคอลลาเจน

คอลลาเจนมีสรรพคุณที่สำคัญและมีผลดีต่อร่างกายในหลายด้าน ดังนี้

  1. ส่งเสริมสร้างเนื้อเยื่อ: คอลลาเจนเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยสร้างเนื้อเยื่อในร่างกาย เช่น ผิวหนัง เส้นเอ็น กระดูก ข้อต่อ กล้ามเนื้อ และเส้นใยเลือด การบริโภคคอลลาเจนช่วยให้ร่างกายมีเนื้อเยื่อที่แข็งแรงและสมบูรณ์ ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตผิดปกติ และช่วยซึมผ่านรอยแผลเพื่อสร้างเนื้อเยื่อใหม่ได้เร็วขึ้น
  2. บำรุงผิวพรรณ: คอลลาเจนช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ นุ่มเนียน และเต่งตึงขึ้น การบริโภคคอลลาเจนช่วยลดการเกิดริ้วรอย ภายในผิวหนังและกระชับรูปหน้า ช่วยลดริ้วรอยสิ่งกรอบและฝ้าดำ และช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวหนังในกระบวนการยุ่งยืน
  3. สนับสนุนสุขภาพข้อและกระดูก: คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลักของกระดูก และข้อต่อ ช่วยเสริมสร้างโครงกระดูกและเส้นเอ็น ทำให้โครงกระดูกแข็งแรง และข้อต่อมีความยืดหยุ่น การบริโภคคอลลาเจนช่วยลดความเสียหายของกระดูก เส้นเอ็น และเส้นใยเยื่อเชื่อมต่อ ช่วยลดอาการอักเสบของข้อและกระดูก ได้แก่ ข้อเสื่อม และโรคข้ออักเสบ
  4. ส่งเสริมการเจริญเติบโตของผมและเล็บ: คอลลาเจนช่วยในการปรับสมดุลของโปรตีนในเล็บและผม ช่วยเสริมสร้างเล็บแข็งแรง และช่วยในกระบวนการเจริญเติบโตของผม การบริโภคคอลลาเจนช่วยลดปัญหาผมบาง ร่องลึก หรือซีกไหม้ และช่วยปรับสมดุลของความชุ่มชื้นของผม
  5. ส่วนร่างกายอื่นๆ: คอลลาเจนยังมีผลในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ส่งเสริมการย่อยอาหารและฟื้นฟูเนื้อเยื่อ ช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังจากการบาดเจ็บ นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดอาการอักเสบในร่างกาย

คอลลาเจนมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพทั่วไปของร่างกาย อย่างไรก็ตาม การรับประทานคอลลาเจนควรเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพที่รวมถึงการบริโภคอาหารที่ครบถ้วนและการใช้วิธีการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมอื่นๆ อีกด้วย

คอลลาเจนแต่ละชนิด

คอลลาเจน เป็นโปรตีนประเภทหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกาย อัตราส่วนของคอลลาเจนในร่างกายประมาณร้อยละ 6 ของน้ำหนักตัว หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดของร่างกาย คอลลาเจนมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างผิวหนัง กระดูก ข้อต่อ และหลอดเลือด อย่างไรก็ตาม เมื่อระดับคอลลาเจนลดลง ความสามารถในการทำงานของคอลลาเจนก็เสื่อมสภาพ ดังนั้นการบริโภคอาหารเสริมคอลลาเจนเป็นสิ่งสำคัญ ในปัจจุบันมีคอลลาเจนถูกค้นพบมากกว่า 28 ชนิด แต่ในร่างกายมนุษย์เรามีเพียง 5 ชนิดที่พบบ่อยที่สุด ส่วนอื่น ๆ ถูกตรวจพบในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเรา

  • คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I): คอลลาเจนประเภทนี้เป็นคอลลาเจนที่พบมากที่สุดในร่างกาย ซึ่งมีปริมาณมากถึง 90 % ของคอลลาเจนทั้งหมดในร่างกาย มีบทบาทในการสร้างและเสริมกระดูก ผนังหลอดเลือด เอ็น และเอ็ดยึดกล้ามเนื้อ รวมถึงผิวหนัง กระจกตา และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มีความเหนียวและแข็งแรงมากที่สุด และมีลักษณะที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับอวัยวะต่างๆในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ รวมถึงส่งเสริมกระดูก เส้นเอ็นและเอ็นยึดกล้ามเนื้อ ผิวหนัง กระจกตา เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และผนังหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการช่วยบำรุงแผลบนผิวหนังได้อีกด้วย
  • คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Collagen Type II): คอลลาเจนประเภทนี้ เป็นคอลลาเจนที่มีลักษณะเฉพาะตัว พบมากในกระดูก กระดูกอ่อน และข้อต่อ เช่น ส่วนประกอบของหู จมูก หลอดลม และกระดูกซี่โครง หน้าที่สำคัญคือการรองรับน้ำหนักและเพิ่มความแข็งแรงให้กับข้อต่อในขณะที่เกิดการเคลื่อนไหว ตัวอย่างที่เป็นคอลลาเจนประเภทนี้ได้แก่หู จมูก หลอดลม และกระดูกซี่โครง ในกระดูกอ่อน คอลลาเจนประเภทที่ 2 มักประกอบด้วยโครงข่ายของเส้นใยคอลลาเจนไทป์ II ร่วมกับสารอื่นๆ เช่น ไฮยาลูโรนิกแอซิด (Hyaluronic acid) และโพรตีโอไกลแคน (Proteoglycan) เช่น แอกกริแคน (Aggrecan) ซึ่งมีไกลโคอะมิโนไกลแคน (Glycoaminoglycans) เช่น คอนโดยตินซัลเฟต (Chondroitin Sulfate) และเคอราแทนซัลเฟต (Keratan Sulfate) ทำหน้าที่หลากหลาย โดยช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์เซลล์เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ ซึ่งสามารถลดอัตราการเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อได้
  • คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Collagen Type III): คอลลาเจนประเภทนี้อยู่ในประเภทที่มักพบร่วมกับคอลลาเจนประเภทที่ 1 แต่ปริมาณที่พบมากน้อยแค่ประมาณ 10 % เป็นส่วนใหญ่ในผนังหลอดเลือด กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อเกี่ยวข้องในร่างกาย แต่ปริมาณของคอลลาเจนประเภทนี้มักจะน้อยกว่าในโครงสร้างอื่นๆ
  • คอลลาเจนชนิดที่ 4 (Collagen Type IV): คอลลาเจนประเภทนี้พบใน basal lamina และ basement membrane ที่เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อที่เรียกว่า epithelium-secreted layer คอลลาเจนในส่วนนี้มีลักษณะเฉพาะเจาะจง พบมากในเนื้อเยื่อที่หุ้มกล้ามเนื้อและไขมัน นอกจากนี้ คอลลาเจนประเภทนี้ยังมีบทบาทในการสนับสนุนการทำงานของระบบประสาทและระบบเลือด
  • คอลลาเจนชนิดที่ 5 (Collagen Type V): คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อในร่างกาย มีการพบคอลลาเจนในหลายพื้นที่ เช่น ใต้ชั้นผิวหนัง เซลล์ และเส้นผม นอกจากนี้ยังพบคอลลาเจนในเนื้อเยื่อของทารกในระหว่างการตั้งครรภ์ คอลลาเจนมีบทบาทสำคัญในการสร้างและยืดหยุ่นของเซลล์ต่างๆในร่างกาย
Peptide Dipeptide Tripeptide

คอลลาเจน เปปไทด์ ไดเปปไทด์ ไตรเปปไทด์ ต่างกันอย่างไร

คอลลาเจนเป็นสารที่มีหลายประเภทและชื่อที่คุ้นเคย เช่น คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen Peptide) คอลลาเจนไดเปปไทด์ (Collagen Dipeptide) คอลลาเจนไตรเปปไทด์ (Collagen Tripeptide) หรือที่เรียกว่าไฮโดรไลซ์คอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen) ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ แต่ประเภทของคอลลาเจนเหล่านี้แตกต่างกันอย่างไร และมีประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างไรจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เราจะมาเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคอลลาเจนทั้งหมดนี้ให้มากขึ้น

Collagen Peptide

คอลลาเจนเป็นสารที่ถูกสกัดให้อยู่ในรูปของสายกรดอะมิโนที่สั้นกว่าคอลลาเจนเปปไทด์ทั่วไป ซึ่งมีมูลค่าโมเลกุลที่ใหญ่กว่า 300,000 ดาลตัน ทำให้เกิดการดูดซึมที่ยากขึ้น จึงต้องใช้เทคโนโลยีเช่น Hydrolysis เพื่อพลิกโฉมคอลลาเจนให้เป็นโมเลกุลที่เล็กลงและเชื่อมโยงได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ คอลลาเจนเปปไทด์ชนิดนี้สามารถหาได้จากแหล่งที่มาธรรมชาติ เช่น ปลาทะเล เพื่อให้ประโยชน์ต่อร่างกาย คอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเล มีส่วนประกอบที่สำคัญ ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่สำคัญ เช่น ไกลซีน โพรลีน และไฮดรอกซีโพรลีน เป็นต้น เพื่อให้สามารถดูดซึมและนำไปสร้างเป็นคอลลาเจนภายในร่างกายได้อย่างดี อีกทั้งยังมีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มการสร้างกรดไฮยาลูรอนิกในผิวหนังเพื่อความชุ่มชื้นอย่างยาวนาน

Collagen Dipeptide

ไดเปปไทด์เป็นส่วนประกอบที่พบได้บ่อยในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน เนื่องจากเป็นวิธีการสกัดคอลลาเจนที่ทำให้มีรูปแบบเป็นไดเปปไทด์ โดยมีกรดอะมิโนเป็นส่วนผสมหลักเพียงสองตัวเท่านั้น คอลลาเจนชนิดนี้มีขนาดเล็กมากเฉลี่ยในระดับ 200 ดาลตัส ทำให้ไม่ต้องถูกย่อยในกระเพาะอาหาร แต่สามารถถูกนำไปลำเรียงและดูดซึมที่ลำไส้เล็กได้ทันที นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการบำรุงเซลล์ผิวหนัง เซลล์กระดูก และเซลล์กระดูกอ่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องรอการย่อยในกระบวนการย่อยในกระเพาะอาหาร

Collagen Tripeptide

ไตรเปปไทด์หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน เป็นหนึ่งในประเภทของคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการย่อยด้วยกรดเพื่อให้ได้อนุภาคขนาดเล็กที่สุด ความเล็กของคอลลาเจนไตรเปปไทด์ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนทั่วไป โดยมีประโยชน์กับร่างกายอย่างมาก เมื่อร่างกายของเราสามารถดูดซึมคอลลาเจนได้ดี เราจะได้รับประโยชน์จากคอลลาเจนไปอย่างเต็มที่ ผลการทดสอบพบว่าคอลลาเจนไตรเปปไทด์สามารถดูดซึมได้ดีกว่าคอลลาเจนทั่วไปถึง 3-4 เท่า ซึ่งสารสกัดที่สกัดมาจากปลาทะเลน้ำลึกมีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับคอลลาเจนในผิวหนังของมนุษย์

การรับประทานสารสกัดคอลลาเจนไตรเปปไทด์อย่างต่อเนื่องจะช่วยเสริมสร้าง เนื้อเยื่อ คอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ริ้วรอยลดลงและผิวหนังกระชับขึ้นได้ อีกทั้งยังมีประโยชน์ในการสร้างผม เล็บ และกระดูกได้อีกด้วย คอลลาเจนไตรเปปไทด์ช่วยเสริมโครงสร้างของร่างกาย ป้องกันอวัยวะ และช่วยให้ร่างกายมีความยืดหยุ่น ผิวหนังจะมีความชุ่มชื่น นุ่มนวล ดูสดใส กระชับ และ เต่งตึง ขึ้น ซึ่งมีผลให้ผิวดูมีความชุ่มชื่น นุ่มเนียน และดูอ่อนเยาว์มากขึ้น การใช้งานคอลลาเจนไตรเปปไทด์ดังกล่าวมีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อร่างกาย

คอลลาเจนที่ร่างกายต้องการต่อวัน

คอลลาเจนเป็นสารตั้งต้นที่สำคัญในร่างกายโดยมีบทบาทที่สำคัญในการรักษาส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย การสร้างคอลลาเจนเกิดขึ้นธรรมชาติภายในร่างกาย แต่เมื่อเราเพิ่มอายุจะทำให้อัตราการสร้างคอลลาเจนลดลง ส่งผลให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพและเกิดริ้วรอยได้ง่าย อีกทั้งยังมีผลต่อสุขภาพข้อต่อ กระดูกและเส้นเอ็นด้วย ในปัจจุบัน การหาตัวเสริมปริมาณคอลลาเจนเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไทยแนะนำว่าไม่ควรรับประทานคอลลาเจนเกิน 10 กรัม ต่อวัน ในความเป็นจริงการบริโภคคอลลาเจนเพียง 2.5-5 กรัมต่อวัน ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ควรระวังโดยผู้ที่มีประวัติการแพ้อาหารทะเลหรือสารสกัดจากปลาในการรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนเช่นกัน

อายุเท่าไหร่ คอลลาเจนในร่างกายถึงเริ่มลดลง

คอลลาเจนเป็นสารสำคัญที่ร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์ได้เอง แต่อัตราการสังเคราะห์คอลลาเจนจะลดลงเมื่อเราเพิ่มอายุ ผลที่เกิดขึ้นคือผิวหนังเริ่มหย่อนคล้อยเนื่องจากการลดปริมาณคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวไม่ยืดหยุ่นและไม่กระชับ อีกทั้งยังมีผลต่อสุขภาพอื่นๆ เช่น กระดูก ข้อต่อ และเส้นผมที่สึกกร่อนจากความขาดแคลนของคอลลาเจนด้วย

การวิจัยพบว่าระดับ คอลลาเจนคือ จะเริ่มลดลงเมื่อเข้าสู่อายุ 25 ปี และลดลงทุกปีประมาณ 1 – 2% เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป ผิวหน้าเริ่มบางลงและมีริ้วเหี่ยวย่นที่บริเวณที่คิ้วและรอบดวงตา อาจมองเห็นชัดเจนในเวลาที่แสดงอารมณ์และสีหน้า และเมื่ออายุเกิน 40 ปี ริ้วรอยที่ผิวหน้าเริ่มมองเห็นชัดขึ้นแม้แม้ไม่มีการแสดงสีหน้า และเมื่อเข้าสู่ 50 ปีขึ้นไป คอลลาเจนลดลงมากหรือเสื่อมสภาพ จนทำให้ผิวหนังเริ่มหยาบกระด้าง ไม่ชุ่มชื้น และมีริ้วรอยที่ชัดเจนและลึกมากขึ้น

เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนที่เกิดธรรมชาติภายในร่างกายกับอายุที่เพิ่มขึ้นเริ่มเป็นหน้าที่สำคัญของผิวหนังที่เปลี่ยนแปลงไป

  • เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 30-39 ปี ผิวหนังเริ่มแสดงรอยย่นบางๆ บริเวณหน้าผาก รวมถึงริ้วรอยเล็กที่ขอบต่างๆ ของตาและที่หางตา เป็นอย่างชัดเจนเวลาเรายิ้ม นอกจากนี้ยังมีรอยย่นระหว่างคิ้ว ที่เห็นชัดเจนเมื่อหน้าดูนิ่ว รวมถึงรอยย่นบางๆ ในร่องแก้มจากจมูกถึงริมฝีปาก บางครั้งอาจมีฝ้าประเภทลึกและตื้น และขนาดของรูขุมขนจะเห็นชัดขึ้น
  • เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 40-49 ปี รอยย่นบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว ใต้ขอบตาล่างและหางตาจะเห็นชัดเจนมากขึ้น รอยย่นที่แก้มและร่องแก้มลึกจะยาวไปจนถึงมุมปาก มีฝ้าประเภทลึกที่เกิดขึ้นอย่างมาก สภาพผิวเริ่มแห้งและมีรูขุมขนใหญ่ บางครั้งอาจมีติ่งเนื้อเกิดขึ้นอย่างกระจัดกระจายเป็นตุ่มเล็กๆ และมีสีน้ำตาล สภาพนี้เป็นที่รู้จักกันว่า “วัยเริ่มตกกระ”
  • เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 50-64 ปี ผิวจะมีลักษณะเดียวกับวัย 40-49 ปี แต่จะมีรอยย่นลึกที่ร่องแก้มที่ยาวไปจนถึงบริเวณใต้มุมปาก มีฝ้าเกิดขึ้นและติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจากคอลลาเจนเริ่มเสื่อมลงอย่างมาก
  • เมื่อเข้าสู่อายุ 65 ปีขึ้นไป ผิวหนังจะเริ่มหยาบกร้าน มีรอยย่นที่ร่องแก้มและริมฝีปาก บางครั้งอาจมีรอยย่นเหนือริมฝีปาก อาจมีฝ้าเกิดขึ้นและติ่งเนื้อ และสภาพการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ คล้ายกับวัย 50-64 ปี ดังนั้น เราสามารถพิจารณาว่าเป็นสิ่งธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคนโดยไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่เราสามารถช่วยลดความเสื่อมของผิวหนังและรักษาความสวยงามของผิวไว้ได้ในระยะเวลาที่ยาวนาน โดยใช้สารสกัดโปรตีนคอลลาเจนเพื่อทดแทนคอลลาเจนที่สูญเสียไป

วิธีเติมคอลลาเจน ให้ร่างกาย

เมื่อเพิ่มอายุขึ้นมากขึ้นในร่างกายของเรา ปริมาณ คอลลาเจน ที่เกิดธรรมชาติก็จะลดลงตามไปด้วย แต่เราสามารถเสริมคอลลาเจนให้กับร่างกายได้โดยการบริโภคอาหารที่มีปริมาณคอลลาเจนสูง ซึ่งสามารถพบได้จากเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว ไก่ หรือเนื้อที่มาจากปลาทะเลเช่นแซลมอนหรือทูน่าที่มีโอเมก้า-3 ที่ช่วยเสริมความชุ่มชื้นและการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง นอกจากนี้ คอลลาเจนยังพบได้ในพืชที่มีโปรตีนและโอเมก้าสูง เช่น ถั่วและธัญพืชต่างๆ

นอกจากนี้ เรายังต้องเสริมสารวิตามินซีเพื่อช่วยในกระบวนการดูดซึมคอลลาเจนได้อีกด้วย เนื่องจากวิตามินซีสามารถกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ผิวหนังของเราได้ และช่วยเพิ่มคอลลาเจนในองค์ประกอบของเซลล์ในร่างกาย วิตามินซีพบได้ในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว กีวี ผลไม้เบอร์รี่ ฝรั่ง ผักใบเขียว หรือสามารถรับประทานวิตามินซีในรูปแบบเสริมอาหารก็ได้ ไม่เพียงเท่านั้น โคเอนไซม์คิว (Co-Enzyme Q) และวิตามินเอก็ยังมีส่วนช่วยลดการสูญเสียคอลลาเจนจากโทรมอนอิสระที่ทำลายผิวหนัง

ดังนั้นการบริโภคสารอาหารเสริมที่มีวิตามินซีและโคเอนไซม์คิว (Co-Enzyme Q) จะช่วยเสริมคอลลาเจนและอิลาสตินให้กับผิว ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นและยืดหยุ่นมากขึ้น และในปัจจุบันการเสริมคอลลาเจนในรูปแบบอื่นๆ ก็เป็นที่นิยมมากขึ้น ไม่ว่าจะ

  • คอลลาเจนแบบทา มีคุณสมบัติในการช่วยเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง แต่เนื่องจากขนาดโมเลกุลของคอลลาเจนประเภทนี้ใหญ่เกินไป ทำให้ไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังไปถึงชั้นผิวในได้ เพื่อแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหนัง จึงต้องมีวิธีการอื่นในการดูแลผิว เนื่องจากคอลลาเจนประเภทนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวได้โดยตรง
  • คอลลาเจนแบบฉีด ในอดีตมีการฉีดคอลลาเจนที่สร้างจากสัตว์เพื่อเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิวและลดความหย่อนคล้อยของผิว แต่พบว่ามีผู้ป่วยที่แพ้สูงมาก ดังนั้นในปัจจุบัน ด้วยการความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการแพทย์ สารเติมเต็มในกลุ่มไฮยาลูโรนิกแอซิด (Hyaluronic acid) ได้รับความนิยมในการใช้เป็นตัวแทน โดยช่วยลดความเสี่ยงจากการแพ้ได้น้อยลง
  • คอลลาเจนแบบทาน เมื่อต้องการรับประทานคอลลาเจนเพื่อเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง คุณสามารถได้มาจากแหล่งอาหารต่างๆ เช่น หนังสัตว์ เอ็น เยลลี่ เจลาติน และคอลลาเจนสังเคราะห์ที่ผสมเข้ากับอาหารเสริมและเครื่องดื่มได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบบ่อยคือคอลลาเจนมีขนาดโมเลกุลใหญ่เกินไปที่จะถูกย่อยในระบบทางเดินอาหารก่อนถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้ในรูปของกรดอะมิโน ดังนั้น แนะนำให้เลือกการรับประทานคอลลาเจนที่มีโมเลกุลขนาดเล็กกว่า เพื่อให้การดูดซึมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • หัตถการทางการแพทย์ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหนัง โดยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนในผิวหนังของบุคคล วิธีการที่ได้รับความนิยมในการใช้แทนคือการใช้เลเซอร์หรือเครื่องปล่อยพลังงานบางชนิด เพื่อเพิ่มความร้อนใต้ผิวหนังและกระตุ้นกระบวนการสร้างเส้นใยคอลลาเจนขึ้นมา
คอลลาเจนลดลง

สาเหตุที่ทำให้คอลลาเจนในร่างกายลดลง

คอลลาเจนในร่างกายสามารถลดลงได้ไม่เพียงแค่เพราะอายุเท่านั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถทำลายคอลลาเจนในร่างกายได้ดังนี้:

  1. รังสี UV จากแสงแดด: รังสียูวีที่เข้าสู่ร่างกายผ่านผิวหนังสามารถทำลายเซลล์ DNA ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้คอลลาเจนโครงสร้างของผิวหนังเสื่อมสภาพ ผิวพรรณจึงบางเบา มีริ้วรอย และเป็นที่ปัญหาที่ผิวง่าย วิธีการแก้ไขคือการใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA++ เพื่อป้องกันอันตรายจากรังสียูวี
  2. การสูบบุหรี่: สารต่างๆ ในบุหรี่สามารถทำลายคอลลาเจนและสารอาหารสำคัญของผิวหนังได้ ทำให้คอลลาเจนในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว วิธีการแก้ไขคือการเลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันจากบุหรี่
  3. ขาดวิตามินซี: วิตามินซีมีบทบาทในการกระตุ้นร่างกายให้ผลิตคอลลาเจน วิธีการแก้ไขคือการบริโภคอาหารหรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่นส้ม ฝรั่ง เป็นต้น
  4. ความเครียดสะสมระยะเวลานาน: เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะเครียด จะมีการผลิตฮอร์โมนชื่อ “คอร์ติซอล” ที่เป็นฮอร์โมนที่ทำลายคอลลาเจนและขัดขวางการผลิตคอลลาเจน ส่งผลให้คอลลาเจนลดลงและไม่มีคอลลาเจนใหม่ทดแทน วิธีการแก้ไขคือการลดความเครียดให้เป็นเวลานาน
  5. การรับประทานอาหารหวาน: น้ำตาลเป็นศัตรูของคอลลาเจน เนื่องจากน้ำตาลสามารถทำลายคอลลาเจนและสร้างความอักเสบในเซลล์ใต้ผิวหนังได้ วิธีการแก้ไขคือการลดการบริโภคอาหารหวานให้น้อยลง

การกินคอลลาเจนให้เห็นผล

เพื่อให้ร่างกายได้รับคอลลาเจนอย่างเพียงพอและได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการรับประทาน คอลลาเจนคือ อาหารจากธรรมชาติแล้ว ยังมีข้อแนะนำอื่นๆ

  • ทานโปรตีน

สำหรับการรักษาสุขภาพที่ดีและผิวหนังที่งดงาม มีความจำเป็นที่จะต้องให้โปรตีนเพียงพอในแต่ละวัน การขาดโปรตีนอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการขาดกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถเกิดจากการลดน้ำหนักหรือการลดปริมาณอาหารที่ได้รับเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ปริมาณคอลลาเจนในผิวหนังลดลงมากกว่าเดิม เนื่องจากคอลลาเจนเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง

ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีและผิวหนังที่งดงาม จำเป็นต้องรับประทานโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างคอลลาเจนอย่างเต็มที่ โปรตีนสามารถได้มาจากหลากหลายแหล่ง เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ และธัญพืชต่าง ๆ ควรรับประทานโปรตีนในปริมาณที่แนะนำคือ 1 – 1.2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เมื่อร่างกายได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ สารอาหารจะถูกย่อยเป็นกรดอะมิโน และนำไปสร้างเป็นคอลลาเจนซึ่งมีประโยชน์ต่อผิวหนัง ข้อเข่า หรือระบบกระดูกในระยะยาว

  • วิตามินซี

เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่และชะลอการสลายของคอลลาเจน ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีเพียงพอในปริมาณที่เหมาะสม วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและชะลอการสลายของคอลลาเจนได้ดี

แหล่งที่พบวิตามินซีมากที่สุดอยู่ในผักและผลไม้ต่าง ๆ อย่างเช่น คะน้า บรอกโคลี สตรอเบอร์รี่ ส้ม แอปเปิ้ลแดง มะนาว เบอร์รีชนิดต่าง ๆ เป็นต้น อาจเพิ่มปริมาณวิตามินซีโดยรับประทานอาหารเสริมที่มีวิตามินซีอยู่ เพื่อให้ได้ประโยชน์ที่เต็มที่จากวิตามินซี ดังนั้น การรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและชะลอการสลายของคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • วิตามินเอ

เพื่อให้ร่างกายมีผิวหนังที่ชุ่มชื้นและเต่งตึง การรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ วิตามินเอช่วยกระตุ้นการเติบโตของไฟโบรบลาสต์ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในร่างกาย ทำให้ผิวหนังสามารถรักษาความชุ่มชื้นและความเป็นเนียนได้

แหล่งอาหารที่มีวิตามินเอมีหลากหลาย เช่น ตำลึง ผักบุ้ง แครอท มะละกอสุก เป็นต้น ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอเพียงพอเพื่อให้ได้ประโยชน์ที่เต็มที่จากวิตามินเอ เพื่อความสวยงามและสุขภาพที่ดี ควรใส่ใจในการรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอให้เพียงพอ เพื่อกระตุ้นการเติบโตของไฟโบรบลาสต์และสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในร่างกายอย่างเต็มที่

  • วิตามินอี

เพื่อสุขภาพที่ดีและผิวหนังที่งดงาม ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินอีเพียงพอในปริมาณที่เหมาะสม วิตามินอีมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่ทำงานร่วมกับวิตามินซี เพื่อช่วยปกป้องผิวหนังจากอันตรายของอนุมูลอิสระ แหล่งอาหารที่มีวิตามินอีมีหลากหลาย เช่น น้ำมันพืชต่าง ๆ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันอโวคาโด รวมถึงถั่วอัลมอนด์ มะม่วง และกีวี เป็นต้น

ควรรับประทานอาหารเหล่านี้ในปริมาณที่เพียงพอเพื่อให้ได้ประโยชน์จากวิตามินอีอย่างเต็มที่ ดังนั้น เพื่อสุขภาพที่ดีและผิวหนังที่งดงาม ควรให้คำนึงถึงการรับประทานอาหารที่มีวิตามินอีเพียงพอ เพื่อช่วยปกป้องผิวหนังจากอันตรายของอนุมูลอิสระในร่างกาย

  • เลี่ยงการทานน้ำตาล

เพื่อสุขภาพที่ดีและผิวหนังที่สดใส ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีรสหวานอย่างเสียด้วย น้ำตาลสามารถทำให้เกิดกระบวนการไกลเคชันซึ่งส่งผลให้คอลลาเจนเสียรูปร่าง ทำให้คอลลาเจนไม่มีรูปทรงที่ชัดเจนเหมือนควรจะเป็น การบริโภคอาหารที่มีความหวานอย่างมากสามารถส่งผลอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น น้ำตาลทราย น้ำตาลสีฟ้า หรือน้ำตาลอื่น ๆ

ซึ่งมีการกระตุ้นกระบวนการไกลเคชัน ทำให้คอลลาเจนในร่างกายเสียรูปร่างและไม่มีรูปทรงที่ชัดเจนในการประสานเสียง ดังนั้น เพื่อสุขภาพที่ดีและผิวหนังที่สดใสควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีรสหวานอย่างสูง ที่อาจมีผลกระทบต่อกระบวนการไกลเคชันและคอลลาเจนในร่างกาย

  • การดื่มน้ำ

เพื่อสุขภาพที่ดีและร่างกายที่มีความสมดุลเสมอ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอตามความต้องการของร่างกาย น้ำไม่เพียงแต่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้ผิวหนังสมบูรณ์และยืดหยุ่น การดื่มน้ำอย่างเพียงพอช่วยให้ร่างกายมีการทำงานได้ดีและระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายมีความสมดุลมากขึ้น

ดังนั้นควรดื่มน้ำให้เพียงพอตามความต้องการของร่างกายอย่างน้อย 2 ลิตรหรือประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน การดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญที่จะควรให้คำนึงถึงเพื่อสุขภาพที่ดีและร่างกายที่มีความสมดุล เพื่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายที่เป็นปกติ น้ำยังเป็นสารสำคัญในกระบวนการสร้างคอลลาเจนที่ช่วยให้ผิวหนังสมบูรณ์และยืดหยุ่นอย่างเต็มที่

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *