คอลลาเจนลดสิว บำรุงผิว ช่วยให้สิวและรอยสิวหายได้จริงไหม?

คอลลาเจนลดสิว บำรุงผิว

การมีสิวเป็นปัญหาที่ทุกคนต้องเผชิญอยู่เคียงข้าง เช่นเดียวกับการดูแลผิวหน้า วิธีการดูแลผิวหน้าที่ดีที่สุดเพื่อลดปัญหาสิวและบำรุงผิวหน้าให้เนียนเรียบคือการบริโภค คอลลาเจนลดสิว แต่เราไม่ต้องเชื่อถือคำพูดนี้เพราะมีหลายทัศนคติกำกวมระหว่างทัศนคติที่ว่า “การบริโภคคอลลาเจนสามารถช่วยลดสิวและบำรุงผิวหน้าให้เนียนเรียบได้” และทัศนคติเหล่านั้นเท่านั้น ในบทความนี้ เราจะนำเสนอแผนการรักษาสิวและการบำรุงผิวหน้าที่เน้นไปที่การบริโภคอาหารที่มี คอลลาเจน รวมถึงวิธีการบริโภคคอลลาเจนที่มีประสิทธิภาพในการลดปัญหาสิวและบำรุงผิวหน้าให้เนียนเรียบของคุณ

เนื้อหา

ทำความรู้จัก collagen

คอลลาเจนคือโปรตีนสำคัญที่มีปริมาณสูงที่สุดในร่างกายและเป็นส่วนสำคัญของกระดูก ผิวหนัง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูกอ่อน เพื่อให้เนื้อเยื่อมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น ในร่างกายของเรามีคอลลาเจนประมาณ 30% โดยร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนเองได้ แต่เมื่อเราเพิ่มอายุอัตราการผลิตคอลลาเจนจะลดลง ทำให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกระดูก ผิวหนัง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูกอ่อนลดลง แต่เราสามารถเสริมคอลลาเจนจากภายนอกร่างกายเพื่อเติมคอลลาเจนที่ร่างกายสูญเสียไปได้ และในปัจจุบันมีสินค้าคอลลาเจนให้เลือกใช้มากมาย ถูกผลิตในโรงงาน รวมถึงรูปแบบการบริโภคเช่น การกิน ทาหรือฉีด โดยคอลลาเจนที่กินถือว่าเป็นการบริโภคอาหารเสริมคอลลาเจนที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้มากที่สุด

ประโยชน์ต่างๆ ของคอลลาเจน

ประโยชน์ของคอลลาเจนต่อร่างกายในหลายด้าน

  1. เสริมกระดูก: คอลลาเจนช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก ทำให้กระดูกไม่เปราะหรือหักง่าย และกระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์กระดูกใหม่เพื่อแทนที่เซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพ
  2. บำรุงผิวหนัง: คอลลาเจนช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันกับกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวหนังยืดหยุ่นได้ดี และรักษาความชุ่มชื่นให้กับผิวหนัง
  3. บำรุงเส้นผม: การบริโภคคอลลาเจนเป็นประจำช่วยเพิ่มความหนาของเส้นผม เกิดผลดีต่อผู้ที่มีปัญหาเส้นผมบางลงเมื่อเพิ่มอายุ
  4. บำรุงเล็บ: คอลลาเจนเสริมความแข็งแรงของเซลล์เล็บ ทำให้เล็บแข็งแรงและเจริญเร็วขึ้น
  5. เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ: คอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  6. กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่: คอลลาเจนช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่และเสริมความแข็งแรงของเซลล์ผิวใหม่
  7. ลดความเสี่ยงของข้อเข่าเสื่อม: คอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญของข้อเข่า ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับข้อเข่า ลดความปวดเจ็บและความเสี่ยงในการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม

ดังนั้นคอลลาเจนมีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายด้าน และเมื่อมีอายุมากขึ้นร่างกายจะผลิตคอลลาเจนน้อยลง ดังนั้นควรเสริมคอลลาเจนให้กับร่างกายอย่างต่อเนื่อง และวิธีที่ดีที่สุดในการเสริมคอลลาเจนคือการบริโภค ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าคอลลาเจน ชนิด ไหนเหมาะสม ควรศึกษาและเลือกคอลลาเจนที่เหมาะกับคุณที่สุด

อยากเพิ่มคอลลาเจนให้ร่างกาย ทำได้กี่แบบ

ปัจจุบันมีวิธีที่สามารถเพิ่ม คอลลาเจน ให้กับร่างกายได้อย่างมากมาย โดยจะแบ่งเป็น 3 วิธีหลัก นั่นคือ การบริโภค การใช้ทาที่ผิวหนัง และการฉีดสารคอลลาเจน

  1. การบริโภค: วิธีนี้มีให้เลือกใช้ในรูปแบบอาหารเสริมหรืออาหารทั่วไป ปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบของผลิตภัณฑ์คอลลาเจนอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเม็ด ผง หรือเครื่องดื่ม นอกจากนี้ยังสามารถได้รับคอลลาเจนผ่านการบริโภคอาหารที่มีอุดมไปด้วยคอลลาเจน เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว และหนังสัตว์ต่างๆ แม้กระทั่งอาหารที่เป็นปลายาง วิธีนี้จะต้องผ่านกระบวนการดูดซึมในร่างกายก่อนที่คอลลาเจนจะมีประสิทธิภาพในการบำรุงผิวพอสมควร
  2. การใช้ทาที่ผิวหนัง: สินค้าบำรุงผิวหน้าที่พบในตลาดในปัจจุบันมักมีส่วนผสมของคอลลาเจน เจ้าตัวคอลลาเจนในรูปแบบนี้มักจะมีขนาดโมเลกุลใหญ่ ทำให้ไม่สามารถซึมลงสู่ชั้นผิวได้ ดังนั้น เป็นไปได้เพียงการช่วยบำรุงความชุ่มชื้นให้กับผิว แต่ไม่สามารถแก้ไขริ้วรอยหรือความหย่อนคล้อยของผิวให้ดีขึ้นได้
  3. การฉีด: เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูง ในปัจจุบัน การฉีดฟิลเลอร์เป็นตัวอย่างหนึ่งที่สามารถให้คอลลาเจนเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและต่อต้านการหย่อนคล้อยให้กับผิวได้ เช่นเครื่องเย็นแฟสี่ดาว (เมโส) ซึ่งมีส่วนผสมของคอลลาเจน เมื่อผสมกับวิตามินผิว เป็นต้น วิธีการฉีดนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีการบริโภคและการทา

ในปัจจุบันเรามีหลายทางเลือกในการเพิ่มสารคอลลาเจนให้กับร่างกาย แต่วิธีการฉีดคือวิธีที่มีผลดีที่สุดในการเพิ่มความชุ่มชื้นและแก้ไขปัญหาริ้วรอยที่ผิวหนังอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีการบริโภคและการทาบนผิวหนัง

Collagen แต่ละ Type ต่างกันอย่างไร

ในปัจจุบันมีคอลลาเจนมากถึง 18 ชนิด แต่ในร่างกายมนุษย์มีชนิดคอลลาเจนที่พบมากที่สุดจำนวน 5 ชนิด มาดูรายละเอียดของแต่ละชนิดคอลลาเจนนี้

  • คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I) เป็นชนิดของคอลลาเจนที่พบมากที่สุดในร่างกาย มีความเหนียวและแข็งแรงมากที่สุด มีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับอวัยวะต่างๆในร่างกาย ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ ช่วยในการสร้างกระดูก ผนังหลอดเลือด เอ็นและเอ็นยึดกล้ามเนื้อ ผิวหนัง กระจกตาและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันนอกเหนือจากนี้ ยังมีประโยชน์ในการสมานแผลบนผิวหนังเช่นกัน คอลลาเจนชนิดนี้เป็นส่วนสำคัญของการดูแลผิวหนังและสุขภาพทั่วไปของร่างกาย
  • คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Collagen Type II) เป็นคอลลาเจนที่พบมากในกระดูกอ่อนและหมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรองรับน้ำหนักและเพิ่มความแข็งแรงให้กับข้อต่อต่างๆ ในขณะที่มีการเคลื่อนไหว ชนิดนี้ประกอบด้วยโครงข่ายเส้นใยคอลลาเจนไทป์ทู ร่วมกับกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid) และโปรตีโอไกลแคน (Proteoglycan) เช่น แอ็กกริแคน (Aggrecan) ที่ประกอบด้วยไกลโคอะมิโนไกลแคน (Glycoaminoglycans) อย่างเช่น คอนโดอิทินซัลเฟต (Chondroitin Sulfate) และเคราแทนซัลเฟต (Keratan Sulfate) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่แตกต่างจากคอลลาเจนชนิดที่1 โดยส่วนประกอบเหล่านี้สามารถกระตุ้นกระบวนการสังเคราะห์เซลล์ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อลดการสึกกร่อนของกระดูกอ่อนที่ข้อต่อ
  • คอลลาเจนชนิดที่ 3 (Collagen Type III) เป็นชนิดที่พบได้มากในร่างกายเช่นเดียวกับชนิดที่ 1 อยู่ส่วนใหญ่ในกล้ามเนื้อ ผนังหลอดเลือดและเนื้อเยื่อต่างๆ
  • คอลลาเจนชนิดที่ 4 (Collagen Type IV) มีปริมาณมากในเนื้อเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อและไขมัน เป็นส่วนสำคัญในระบบประสาทและหลอดเลือดของร่างกาย
  • คอลลาเจนชนิดที่ 5 (Collagen Type V) พบในจุดเดียวกับชนิดที่ 1 และสามารถพบได้ในเนื้อเยื่อของทารกในครรภ์

ดังนั้น ในร่างกายมนุษย์มีคอลลาเจนหลายชนิด แต่คอลลาเจนชนิดที่พบมากที่สุดคือชนิดที่หนึ่งซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างกระดูกและผิวหนัง ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติและหน้าที่ของแต่ละชนิดคอลลาเจนนี้จะช่วยให้เราเข้าใจถึงความสำคัญและประโยชน์ที่คอลลาเจนนี้มีต่อร่างกาย

มีส่วนช่วยแก้ปัญหาสิว

ทำไมคอลลาเจน จึงมีส่วนช่วยแก้ปัญหาสิว

คอลลาเจนเป็นเส้นใยโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อผิวหนัง โดยการดูดซึมคอลลาเจนช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูระดับเซลล์ผิว ทำให้ผิวเรียบเนียน นุ่มลื่น และมีความกระชับมากขึ้น ผลจากความแข็งแรงของผิวทำให้เกิดสิวน้อยลง คอลลาเจนมีประโยชน์สำคัญสำหรับผิวดังนี้

  1. เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและฟื้นฟูระดับเซลล์ผิวที่เสียหาย
  2. ป้องกันการสูญเสียน้ำในชั้นผิวหนัง
  3. ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
  4. ลดรอยสิว ลดฝ้า รอยแดง และ จุดด่างดำ
  5. ช่วยเสริมความแข็งแรงของผิวซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว
  6. เพิ่มความยืดหยุ่นและกระชับของผิว
  7. ทำให้ผิวเนียน ลื่น และไม่แห้งกร้าน

การรับประทานคอลลาเจนเป็นปัจจัยสำคัญในการลดปัญหาสิวและสร้างผิวหน้าที่กระจ่างใสและปราศจากรอยสิวได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จะมีอย่างรวดเร็วมากขึ้นเมื่อคอลลาเจนถูกบริโภคพร้อมกับผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินซีสูง ผลกระทบที่ดีของคอลลาเจนในการลดสิวและปรับสภาพผิวหน้ามากขึ้นเมื่อเราบริโภคคอลลาเจนและวิตามินซีพร้อมกัน

คอลลาเจนช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวที่เสียหายและเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหน้า ในขณะที่วิตามินซีมีคุณสมบัติที่ช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระและส่งเสริมกระบวนการฟื้นฟูผิวให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การรับประทานคอลลาเจนและผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินซีสูงพร้อมกันจะช่วยให้ผลลัพธ์ในการลดสิวและบำรุงผิวหน้าเป็นอย่างมาก และสามารถเห็นผลได้เร็วขึ้น

เพราะอะไร คอลลาเจนลดสิว และรอยสิวได้

คอลลาเจน มีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายด้าน ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือการใช้ คอลลาเจนลดสิว และรอยแผลจากสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่คอลลาเจนสามารถลดสิวได้เกิดจากความสามารถในการเสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวเรียวกระชับ รูขุมขนเล็กลงและไม่มีสิ่งสกปรกสะสมภายใน ซึ่งสิ่งดังกล่าวเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ดังนั้น เมื่อมีคอลลาเจนอยู่ในระดับที่เพียงพอ การเกิดสิวจะลดลงไปด้วย ไม่เพียงเท่านั้น คอลลาเจนยังช่วยในการรักษาแผลหรือรอยแผลจากสิวให้เบาลง ไม่ว่าจะเป็นรอยแผลแดง หรือรอยแผลเหี่ยวย่นสามารถทำการลดลงและบำรุงรอยแผล ก็ดูจางลง ได้อย่างมีผล การบริโภคคอลลาเจนอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 4 – 6 สัปดาห์ช่วยให้ผลดีในการลดรอยแผลสิวได้มากยิ่งขึ้น

คอลลาเจนลดสิว กินอย่างไร ให้สิวหาย

เมื่อทราบความสามารถของ คอลลาเจนลดสิว แล้ว อย่างไรก็ตาม คอลลาเจนที่ช่วยลดสิวควรเป็นคอลลาเจนที่ทางานแบบกินเท่านั้น วิธีการใช้คอลลาเจนแบบทาหรือเคี้ยวไม่สามารถลดการเกิดสิวได้ เนื่องจากคอลลาเจนในรูปแบบดังกล่าวไม่สามารถซึมเข้าสู่ร่างกายได้ เพียงแค่เคลือบบนผิวหน้าเท่านั้น

วิธีการบริโภคคอลลาเจนเพื่อช่วยให้สิวหายเกลี้ยงอยู่ดังนี้

  1. การบริโภคในปริมาณที่เพียงพอ: เมื่อต้องการใช้คอลลาเจนเพื่อลดสิว ควรบริโภคคอลลาเจนอย่างน้อย 15,000 มิลลิกรัมต่อวัน
  2. เลือกบริโภคคอลลาเจนเปปไทด์ไฮโดรไลซ์: คอลลาเจนสามารถมีในรูปแบบหลากหลาย ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตว่าต้องการสกัดคอลลาเจนให้อยู่ในรูปแบบใด คอลลาเจนที่อยู่ในรูปแบบคอลลาเจนเปปไทด์ไฮโดรไลซ์เป็นคอลลาเจนที่ถูกย่อยให้เล็กลงเพื่อให้สามารถดูดซึมได้ง่าย ดังนั้นควรเลือกการบริโภคคอลลาเจนที่เป็นคอลลาเจนเปปไทด์ไฮโดรไลซ์ เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการลดและรักษาสิวได้ดีที่สุด
  3. การบริโภคต่อเนื่อง: เพื่อให้คอลลาเจนช่วยลดสิวได้ ควรบริโภคคอลลาเจนต่อเนื่องอย่างน้อย 2 – 4 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งคอลลาเจนจะมีความสามารถในการเสริมความแข็งแรงของผิว ทำให้ผิวเต่งตึง มีความชุ่มชื่นและริ้วรอยเกิดขึ้นช้าลง
  4. บริโภคพร้อมกับวิตามินซี: การบริโภควิตามินซีร่วมกับคอลลาเจนจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมคอลลาเจนที่บริโภคเข้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวิตามินซีสามารถเป็นส่วนผสมในคอลลาเจนหรือบริโภคแยกกันก็ได้

ดังนั้นเมื่อคอลลาเจนได้รับการบริโภคตามวิธีดังกล่าว จะช่วยให้สิวหายไป ผิวขาวสะอาด นุ่มเนียน และลดริ้วรอยก่อนวัยได้อย่างแน่นอน

วิธีเสริมสร้างคอลลาเจนให้ร่างกาย

เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงวัยที่อายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปริมาณของคอลลาเจนธรรมชาติในร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพหรือลดลงตามอายุ แต่ไม่ต้องกังวล เพราะเราสามารถเสริมคอลลาเจนได้ด้วยการบริโภคอาหารที่เป็นแหล่งคอลลาเจน ปัจจุบันมีทั้งอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมคอลลาเจนที่สามารถเลือกใช้ได้หลากหลาย

คอลลาเจนสามารถพบได้มากที่สุดในเนื้อสัตว์ เช่นกระดูก ไขกระดูก เส้นเอ็น และหนัง นอกจากนี้ยังมีคอลลาเจนสูงในปลาทะเลชนิดต่างๆ เช่นปลาแซลมอนและทูน่า เพียงแต่คอลลาเจนในสัตว์มักจะทำให้ผิวหนังได้รับความชุ่มชื่นและสนับสนุนการสร้างคอลลาเจน นอกจากนั้นยังมีคอลลาเจนในพืชที่มีโปรตีนและโอเมก้าสูง เช่นถั่วและธัญพืชต่างๆ การเสริมคอลลาเจนในรูปแบบอาหารเสริมก็ได้รับความนิยมในปัจจุบัน

อีกทั้งเรายังควรเสริมวิตามินซีพร้อมกับคอลลาเจน เนื่องจากวิตามินซีช่วยกระตุ้นการดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกาย และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิว พบวิตามินซีได้ในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่นเบอร์รี่ เสาวรส ผักใบเขียว นอกจากนี้ยังสามารถรับประทานวิตามินซีที่สกัดมาในรูปแบบอาหารเสริมได้อีกด้วย

อื่นๆ ที่เป็นสารสำคัญในการลดการสูญเสียคอลลาเจนได้แก่ คอเอนไซม์คิว (Co-Enzyme Q) และวิตามินเอ การรับประทานสารเหล่านี้ช่วยลดการสูญเสียคอลลาเจนจากอนุมูลอิสระที่ส่งผลกระทบต่อผิว วิตามินเอช่วยกระตุ้นไฟโบรบลาสต์ (fibroblast) ที่ช่วยสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและยืดหยุ่นมากขึ้น

ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้คอลลาเจนถูกทำลาย

ไม่ใช่เพียงแค่อายุที่เพิ่มขึ้นเท่านั้นที่ทำให้ปริมาณคอลลาเจนธรรมชาติในร่างกายลดลง ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กับเรื่องนี้อีกมากมาย เช่น

  1. แสงแดด: แสงแดดประกอบด้วยรังสียูวี UVA และ UVB ที่สามารถทำลายคอลลาเจนในร่างกายได้ นอกจากนี้ แสงและความร้อนจากหลอดไฟ โทรศัพท์มือถือ และหน้าจอคอมพิวเตอร์ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้คอลลาเจนเสื่อมสลายได้
  2. มลภาวะ: มลภาวะทางอากาศเช่นฝุ่นควัน มลพิษ และละอองฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 สามารถทำให้คอลลาเจนในร่างกายลดลงได้ เนื่องจากเป็นสารอนุมูลอิสระซึ่งส่งผลกระทบต่อเซลล์ในร่างกาย
  3. ความเครียด: ความเครียดที่เกิดขึ้นในร่างกายจะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งส่งผลให้คอลลาเจนในร่างกายลดลง นอกจากนี้ การนอนหลับไม่เพียงพอก็สามารถทำให้ร่างกายมีการสูญเสียคอลลาเจนอย่างมากขึ้นได้
  4. อาหารที่มีน้ำตาล: การบริโภคน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตในปริมาณสูง สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาไกลเคชั่น (Glycation) กับโปรตีนภายในร่างกาย ซึ่งจะส่งผลให้คอลลาเจนเสื่อมสลายลง
  5. บุหรี่และแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อยู่เป็นประจำ สามารถเพิ่มสารอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งจะทำลายคอลลาเจนและทำให้คอลลาเจนในร่างกายลดลง

ดังนั้น การรักษาความสมดุลของคอลลาเจนในร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ โดยการบำรุงรักษาร่างกายด้วยการรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งคอลลาเจน เสริมด้วยการรับประทานวิตามินซี เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในร่างกาย รวมถึงการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดความสูญเสียคอลลาเจนเพิ่มขึ้น เช่น แสงแดด มลภาวะ ความเครียด อาหารที่มีน้ำตาล บุหรี่และแอลกอฮอร์

การรับประทานคอลลาเจนเสริมสำคัญอย่างไร

คอลลาเจนเป็นสารที่สำคัญในร่างกายที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์ส่วนต่างๆ ภายในร่างกายของเรา อย่างไรก็ตามเมื่อเราเพิ่มอายุขึ้น อัตราการสร้างคอลลาเจนในร่างกายจะลดลง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวเพียงแค่กับผิวพรรณที่ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพและริ้วรอยได้อย่างง่ายดาย แต่ยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพทั้งข้อต่อ กระดูก และเส้นเอ็นด้วย ดังนั้น การเสริมปริมาณคอลลาเจนเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในยุคปัจจุบัน

ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมคอลลาเจนหรืออาหารที่มีคอลลาเจนสูง อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไทยได้ออกประกาศว่าไม่ควรรับประทานคอลลาเจนเกิน 10 กรัมต่อวัน ในความเป็นจริง การบริโภคคอลลาเจนประมาณ 2.5-5 กรัมต่อวัน ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตามผู้ที่สนใจที่จะรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนควรระวังไม่มีประวัติการแพ้อาหารทะเลหรือสารสกัดจากปลาในอดีต

วิธีทานคอลลาเจนให้เห็นผล

เพื่อให้ร่างกายได้รับคอลลาเจนอย่างเพียงพอและได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ในการรับประทานคอลลาเจน สามารถปฏิบัติตามข้อแนะนำดังต่อไปนี้

    1. เลือก Bioactive collagen peptide เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว: คอลลาเจนชนิด Bioactive collagen peptide เป็นคอลลาเจนที่มีโมเลกุลขนาดเล็กที่สามารถดูดซึมได้ง่าย และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวได้มากขึ้น ผลวิจัยจากประเทศเยอรมนีพบว่าผู้หญิงอายุ 35-65 ปีที่รับประทาน Bioactive collagen peptide 2.5 กรัมต่อวันเป็นเวลา 4-8 สัปดาห์ มีผลกระทบที่ดีต่อสภาพผิว เช่น ผิวดีขึ้น ความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น ริ้วรอยลดลง 7-20% อีกทั้งยังพบว่าการรับประทาน Bioactive collagen peptide เช่นเดียวกันเป็นเวลา 6 เดือน ช่วยลดเซลลูไลท์และการหักเปราะของเล็บได้เป็นอย่างดี
    2. รับประทานโปรตีนต่อวันให้เพียงพอ: การรับประทานโปรตีนในปริมาณเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่ คอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ดังนั้นควรรับประทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ นม ไข่ หรือธัญพืชต่าง ๆ ในปริมาณ 1-1.2 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว โดยเมื่อร่างกายได้รับโปรตีนเพียงพอแล้ว โปรตีนจะย่อยเป็นกรดอะมิโนเพื่อใช้ในกระบวนการสร้างคอลลาเจนที่มีประโยชน์ต่อผิว ข้อเข่า หรือมวลกระดูก
    3. รับประทานอาหารที่มีวิตามินซี: วิตามินซีเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญที่ชะลอการสลายของคอลลาเจน สามารถหาวิตามินซีจากผักและผลไม้ต่าง ๆ เช่น ฝรั่ง คะน้า บรอกโคลี สตรอเบอร์รี่ ส้ม แอปเปิ้ลแดง มะนาว เบอร์รีชนิดต่าง ๆ หรือสามารถเสริมวิตามินซีผ่านอาหารเสริมได้
    4. รับประทานอาหารที่มีวิตามินเอ: วิตามินเอช่วยกระตุ้นการเติบโตของไฟโบรบลาสต์ (fibroblast) ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในร่างกาย ทำให้ผิวชุ่มชื้นและเต่งตึง สามารถหาวิตามินเอจากตำลึง ผักบุ้ง แครอทมะละกอสุก เป็นต้น
    5. รับประทานอาหารที่มีวิตามินอี: วิตามินอีมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำงานคู่กับวิตามินซี เช่น น้ำมันพืชต่าง ๆ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง รวมถึงถั่วอัลมอนด์ อะโวคาโด มะม่วง และกีวี
    6. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน: เนื่องจากน้ำตาลที่มีอยู่ในอาหารรสหวานสามารถเกิดกระบวนการไกลเคชัน (glycation) ได้ ซึ่งกระบวนการนี้สามารถทำให้คอลลาเจนในร่างกายเสียรูปร่างลงได้ และทำให้ไม่มีรูปทรงที่ชัดเจนอย่างที่ควรจะเป็น
    7. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย: เนื่องจากน้ำไม่เพียงแค่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในร่างกายที่ทำให้ระบบต่าง ๆ มีความสมดุลมากขึ้น แต่น้ำยังเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างคอลลาเจน ดังนั้นควรดื่มน้ำให้เพียงพอตามความต้องการโดยประมาณ 2 ลิตรหรือประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน

ส่วนผสมอื่นๆ ที่มักพบในผลิตภัณฑ์เสริมคอลลาเจน

ส่วนใหญ่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคอลลาเจนประกอบอยู่ มักมีส่วนผสมที่หลากหลายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของคอลลาเจนที่เข้าสู่ร่างกาย ส่วนผสมหลักๆ ได้แก่

  1. คอลลาเจนเปปไทด์จากปลาทะเล: มีกรดอะมิโน ไกลซีน โพรลีน และไฮดรอกซีโพรลีน เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปสร้างคอลลาเจนได้ดี นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการสร้างกรดไฮยาลูรอนิกที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและมีความนุ่มเนียน เต่งตึง และดูสุขภาพดี
  2. เปปไทด์จากถั่วเหลือง: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 ซึ่งพบได้มากที่ผิวหนัง
  3. สารสกัดจากดอกเก๊กฮวยขาว: เป็นสมุนไพรจีนที่นิยมใช้ในการบำรุงสุขภาพต่างๆ เช่น ตับ สายตา และผิวพรรณ เนื่องจากมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก นอกจากนี้ การผสมใช้ร่วมกับคอลลาเจนเปปไทด์ยังช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิว ทำให้ผิวมีความสว่าง กระจ่างใสมากยิ่งขึ้น
กินคอลลาเจนอย่างไร

เคล็ดลับ กินคอลลาเจนอย่างไรให้ลดสิวได้อย่างเห็นผล

เลือกรับประทานคอลลาเจนตอนท้องว่าง

เรื่องสำคัญคือการเลือกรับประทาน คอลลาเจนลดสิว ในช่วงที่ท้องว่างหรือหลังจากรับประทานอาหารไปแล้ว 3-4 ชั่วโมง เนื่องจากช่วงเวลาท้องว่างและห่างจากการรับประทานอาหารช่วยให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนและนำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ทำลายกรดในกระเพาะอาหารได้

หากไม่สามารถหาช่วงเวลาในตอนกลางวันได้ คุณสามารถเลือกรับประทานคอลลาเจนลดสิวก่อนนอนได้ นั่นเพื่อให้คอลลาเจนที่รับประทานเข้าไปสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรือเสื่อมได้อย่างเต็มที่ในขณะที่คุณหลับ

รูปแบบของคอลลาเจนมีส่วนสำคัญ

สิ่งสำคัญถัดไปในการเลือกรับประทานคอลลาเจนลดสิวคือการเลือกประเภทของคอลลาเจนลดสิวที่เหมาะสมสำหรับคุณ ตลาดปัจจุบันมีคอลลาเจนลดสิวในรูปแบบหลากหลาย เช่น ผง, เม็ด, และน้ำ แต่การแนะนำคอลลาเจนลดสิวที่ทำงานได้ดีที่สุดคือคอลลาเจนแบบผงที่ต้องละลายในน้ำ คอลลาเจนแบบผงมีคุณสมบัติหลักในการดูดซึมที่ดี ร่างกายสามารถนำสารอาหารจากคอลลาเจนลดสิวไปใช้ได้ทันที

เป็นต้นฉบับจากการเลือกรับประทานคอลลาเจนลดสิวแบบเม็ดที่ต้องรอให้ละลายในร่างกายเป็นเวลา 20-30 นาที ก่อนที่ร่างกายจะสามารถนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์ นอกจากนี้ แนะนำให้เลือกบริโภคคอลลาเจนลดสิวแบบไตรเปปไทด์ ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก ดังนั้นการนำสารอาหารไปใช้จะได้ผลเร็วและดีกว่าการเลือกบริโภคคอลลาเจนในรูปแบบอื่นๆ

การดื่มน้ำ

หลังจากคุณเลือกบริโภคคอลลาเจนลดสิวในรูปแบบต่างๆ ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญคือการดื่มน้ำมากเพิ่มขึ้นหลังจากที่คุณได้รับประทานคอลลาเจนลดสิวแล้ว น้ำมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้การดื่มน้ำหลังรับประทานคอลลาเจนลดสิวยังช่วยในการดูดซึมคอลลาเจนได้ดีกว่าการบริโภคคอลลาเจนเพียงอย่างเดียวโดยไม่ดื่มน้ำ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหนังชุ่มน้ำภายใน

รับประทานคอลลาเจนช่วยรักษาหลุมสิวอย่างไร

รอยแผลที่เกิดจากสิวเป็นรอยเว้าถาวรที่เกิดขึ้นจากการที่คอลลาเจนในผิวหนังของคุณถูกทำลายไปเนื่องจากแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุหลักในการเกิดสิว การทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังนี้ทำให้โครงสร้างของเซลล์ในชั้นล่างของผิวประสานเสียหายได้

คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่มีความสำคัญและเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการฟื้นฟูแผลจากสิว การเสียหายที่เกิดขึ้นกับคอลลาเจนในชั้นล่างของผิวหนังเป็นสาเหตุหลักในการเกิดรอยแผลจากสิวที่เกิดขึ้นเหนือระดับผิวหนัง สิวซีสต์เป็นรูปแบบที่รุนแรงที่สุดเนื่องจากเกิดจากการติดเชื้อในชั้นผิวหนังที่ลึกที่สุด สิ่งนี้ทำให้เกิดแผลที่มาจากสิวที่ลึกสุด

เมื่อสิวหายแล้วจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่เข้ามาในบริเวณนั้นและนำสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูสิว การรับประทานคอลลาเจนเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยให้กระบวนการนี้เกิดขึ้นได้

หลังจากไม่กี่เดือนแล้ว คอลลาเจนจะเริ่มเปลี่ยนแปรสภาพในบริเวณที่ผิวหนังได้รับบาดเจ็บ (บริเวณที่เกิดแผลจากสิว) และจะมีการเติมเต็มด้วยผิวใหม่ที่สดชื่นเพื่อแทนที่ปริมาณคอลลาเจนที่สูญเสียไป ผลลัพธ์ที่คุณจะได้รับคือผิวที่ดูเรียบเนียนและชุ่มชื่นมากขึ้น รอยแผลจากสิวจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด การเพิ่มสารอาหารในเมนูประจำวันของคุณจะช่วยกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูผิวหนังให้เร็วขึ้นและเริ่มกระบวนการบำบัดผิวหนัง ผลลัพธ์ที่คุณจะได้รับคือผิวที่ดูเรียบเนียนและชุ่มชื่นมากขึ้น รอยแผลจากสิวที่เคยมีจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดกว่าเดิม

เริ่มต้นด้วยการดูแลผิวพรรณอย่างพิถีพิถัน

เริ่มต้นด้วยขั้นตอนที่สำคัญในการฟื้นบำรุงผิวหน้าคือการทำความสะอาดผิวอย่างถูกต้อง การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะสมสำคัญมากในการดูแลสภาพผิว เนื่องจากสารสกัดและส่วนประกอบสำคัญต่าง ๆ ต้องมาสัมผัสกับผิว การเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบจึงเป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งขั้นตอนการบำรุงที่เหมาะสมตามลำดับดังนี้:

  1. ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับสภาพผิว (ควรมีคอลลาเจน) เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณจะช่วยให้ผิวสุขภาพดีขึ้น เลือกสินค้าที่มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบเพื่อส่งเสริมกระบวนการฟื้นฟูผิวหน้า
  2. เช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์ที่อ่อนโยน หลังจากทำความสะอาดผิวควรใช้โทนเนอร์ที่เป็นสูตรอ่อนโยนเพื่อเตรียมพร้อมผิวหน้าสำหรับขั้นตอนถัดไป
  3. ลงเอสเซนซ์หรือน้ำตบบำรุงผิว การใช้เอสเซนซ์หรือน้ำตบหลังจากที่ผิวหน้าสะอาดช่วยให้ผิวสดชื่นและช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื่นและกระชับ
  4. ทาครีมสำหรับรักษาสิว หากมีปัญหาสิวควรใช้ครีมที่เหมาะสมสำหรับการรักษาสิวเพื่อช่วยลดการเกิดสิวและปกป้องผิว
  5. ลงเซรั่มและมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อความชุ่มชื่น การใช้เซรั่มและมอยส์เจอไรเซอร์ช่วยฟื้นบำรุงคอลลาเจนใต้ผิวหนังให้ชุ่มชื่น และเพิ่มความยืดหยุ่นแก่เซลล์ผิวหนัง
  6. ทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันผิว ไม่ควรละเลยการใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดที่อาจทำให้คอลลาเจนภายใต้ผิวเสื่อมสภาพได้

โดยปฏิบัติตามขั้นตอนดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิว รวมทั้งรักษาคอลลาเจนใต้ผิวให้อยู่ในสภาพที่ดี การดูแลผิวหน้าอย่างถูกต้องมีประโยชน์ไม่เพียงแค่ลดอาการของสิวและคงความชุ่มชื่นให้กับผิว แต่ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวหนังให้มีความยืดหยุ่นและแข็งแรงอีกด้วย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *