คอลลาเจน (collagen) คืออะไร เลือกกินอย่างไรให้ได้ประโยชน์

คอลลาเจนประโยชน์โทษ

คำถามที่หลายคนถามเกี่ยวกับคอลลาเจนคือ คอลลาเจนช่วยอะไรบ้าง คอลลาเจนประโยชน์โทษ คอลลาเจนมักมีภาพลักษณ์ที่ผิดกับความจริง เช่น การรับประทานคอลลาเจนเพื่อผิวขาวใสเท่านั้น หรือคนบางคนอาจสงสัยว่าทำไมจึงต้องซื้อคอลลาเจนมากินถ้าร่างกายสามารถผลิตเองได้ แต่จริงๆ แล้ว การรับประทานคอลลาเจนมีประโยชน์มากกว่าที่คิด เมื่อรับประทานในวิธีที่ถูกต้อง คุณสมบัติที่ดีของคอลลาเจนจะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากขึ้น

คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยสร้างโครงสร้างและความแข็งแรงให้กับเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย เช่น ผิวหนัง เส้นผม และเล็บ การรับประทานคอลลาเจนจะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกาย เพิ่มความกระชับของผิว ลดริ้วรอยและรอยตื้น และช่วยให้ผิวดูมีสมบูรณ์แข็งแรงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ คอลลาเจนยังมี ประโยชน์ ต่อระบบของร่างกายอีกมากมาย เช่น ส่งเสริมสร้างพื้นฐานของเนื้อเยื่ออวัยวะต่างๆ เพิ่มความแข็งแรงให้กับข้อต่อ และสนับสนุนการฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย

การรับประทานคอลลาเจนอย่างถูกวิธีและต่อเนื่องจะส่งผลดีต่อร่างกายมากขึ้นไปอีก นอกจากการเลือกซื้อคอลลาเจนที่มีคุณภาพสูงและผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด ก็ควรคำนึงถึงการบริโภคอาหารที่มีคอลลาเจนหรือสารอาหารที่ช่วยให้ร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนได้อย่างมากขึ้นด้วย

เนื้อหา

ความสำคัญของคอลลาเจนต่อร่างกาย

คอลลาเจน (Collagen) ถือเป็นโปรตีนที่สำคัญและเป็นส่วนหนึ่งของชั้นล่างของผิวหนังหรือที่เรียกว่าเนื้อเยื่อแท้ (Dermis) ซึ่งมีหน้าที่ที่สำคัญในการยึดติดอวัยวะภายในร่างกาย ที่เป็นส่วนประกอบหลักของเนื้อเยื่อในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ โครงสร้างของคอลลาเจนมีลักษณะเป็นเส้นใยยาวและแข็งแรง เนื่องจากเป็นส่วนสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย เช่น ผิวหนัง ข้อต่อ เส้นผม เล็บ กระดูก เส้นเอ็น และเส้นเลือด

มีบทบาทสำคัญในการสร้างโครงสร้างเนื้อเยื่อใหม่ เมื่อเนื้อเยื่อเก่าถูกสลายและต้องการซ่อมแซม นอกจากนี้ คอลลาเจนยังช่วยให้ผิวหนังยืดหยุ่น ชุ่มชื่น และมีความชุ่มชื้น เพื่อดูเป็นมิตรกับกระบวนการเกิดริ้วรอยและความสึกหรือเคล็ดลับอื่นๆในการเลือกคอลลาเจนที่เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละบุคคล เช่น คอลลาเจนที่ได้จากระบบย่อยสลายโดยอาหารและเครื่องสำอางที่มีคอลลาเจนในส่วนผสมหรือเสริมเพิ่มคอลลาเจนในร่างกายได้อย่างเหมาะสม

คอลลาเจนแบ่งได้เป็นกี่ประเภท

ประเภทของคอลลาเจนมีหลายประเภทที่มีคุณสมบัติและหน้าที่ที่แตกต่างกันไป

  1. คอลลาเจนประเภทที่ 1 (collagen type i): คอลลาเจนชนิดนี้ เป็นชนิดที่พบได้มากที่สุดในร่างกาย ถึง 90 % ของคอลลาเจนทั้งหมด มีความเหนียวและแข็งแรงมากที่สุด มีบทบาทสำคัญในการสร้างกระดูก ผนังหลอดเลือด และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่นๆ เช่น ผิวหนัง กระจกตา และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน คอลลาเจนประเภทนี้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้ฉีกขาด และช่วยสมานแผลบนผิวหนัง
  2. คอลลาเจนประเภทที่ 2 (collagen type ii): คอลลาเจนประเภทนี้พบมากในกระดูกอ่อน เช่น ส่วนประกอบของหู จมูก หลอดลม และกระดูกซี่โครง คอลลาเจนชนิดนี้มีบทบาทในการกระตุ้นเซลล์ให้สังเคราะห์มากขึ้น เพื่อลดการเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ คอลลาเจนประเภทนี้เป็นส่วนประกอบของหน่วยพฤติกรรมของเส้นใยคอลลาเจนในกระดูกอ่อน มีความสัมพันธ์กับภาวะการเกิดข้อเสื่อมและข้ออักเสบ
  3. คอลลาเจนประเภทที่ 3 (collagen type iii): คอลลาเจนประเภทนี้พบร่วมกับคอลลาเจนประเภทที่ 1 ในผิว กล้ามเนื้อ และผนังหลอดเลือด คอลลาเจนชนิดนี้พบได้น้อยกว่าประมาณ 10% และมักพบมากในผนังหลอดเลือด
  4. คอลลาเจนประเภทที่ 4 (collagen type iv): คอลลาเจนประเภทนี้พบใน basal lamina และ basement membrane ที่อยู่ในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มีบทบาทในระบบประสาทและเส้นเลือด
  5. คอลลาเจนประเภทที่ 5 (collagen type v): คอลลาเจนประเภทนี้เป็นส่วนประกอบของเยื่อบุเซลล์ต่างๆ พบในผิวของเซลล์ และเส้นผม

บทความนี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับคอลลาเจนแต่ละประเภทเพื่อให้ความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับบทบาทและประโยชน์ที่แตกต่างกันในร่างกาย อย่างไรก็ตาม การใช้คอลลาเจนเพื่อเสริมสร้างสุขภาพหรือผิวพรรณมีข้อกำหนดทางการแพทย์และการใช้งานที่ต้องระมัดระวัง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนดำเนินการใดๆ

คอลลาเจนจะเริ่มลดลง เมื่ออายุเท่าไหร่

ร่างกายของเรามีคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของโปรตีนถึง 80 % การสังเคราะห์คอลลาเจนในร่างกายเราสามารถทำได้เอง แต่เมื่อเพิ่มอายุมากขึ้น อัตราการสังเคราะห์คอลลาเจนก็ลดลง ผลที่เกิดขึ้นคือผิวหนังเริ่มหย่อนคล้อย ไม่ เรียบเนียน เนื่องจากคอลลาเจนในชั้นผิวลดลง ผลกระทบที่ปรากฏคือผิวไม่ยืดหยุ่นและไม่กระชับ นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อสุขภาพในส่วนอื่น ๆ เช่นกระดูก ข้อต่อ และเส้นผมที่เสื่อมสภาพลงเนื่องจากขาดคอลลาเจน

การวิจัยพบว่าคอลลาเจนในร่างกายเริ่มลดลงเมื่ออายุเข้าสู่ 20 ปีและลดลงอย่างช้าๆ ทุกปีเมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป ผิวหน้าเริ่มบางลงและมีรอยเหี่ยวย่นที่บริเวณหน้าที่แสดงอารมณ์ได้ชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งเมื่อเข้าสู่ 40 ปีรอยเหี่ยวย่นที่ผิวหน้าเป็นที่รู้สึกได้ชัดเจนมากขึ้น แม้ไม่มีการแสดงอารมณ์เฉย ๆ และเมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป คอลลาเจนลดลงอย่างมากหรือเสื่อมสภาพ ซึ่งทำให้ผิวหน้ามีความหยาบกระด้าง ไม่ชุ่มชื้น และมีริ้วรอยที่ชัดเจนและลึกมากขึ้น

คอลลาเจนกับการผลิตที่ลดลงตามอายุ

เมื่ออายุที่เพิ่มมากขึ้น เราจะพบว่ามีความสัมพันธ์กับการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนตามธรรมชาติในร่างกาย ดังนี้

  1. ช่วงอายุ 30-39 ปี ในช่วงนี้ มีรอยเหี่ยวย่นบริเวณหน้าผาก แสดงออกเมื่อมีการแสดงอารมณ์และสีหน้า รวมทั้งริ้วรอยเล็กๆ ใต้ขอบตาล่าง หางตา และร่องแก้มที่สัมผัสฝีปาก อาจมีไฝและฝ้า กระ จุดด่างดำ ที่เกิดขึ้น รวมถึงขนาดของรูขุมขนที่กว้างขึ้นด้วย
  2. ช่วงอายุ 40-49 ปี ในช่วงนี้ รอยเหี่ยวย่นจะมีอาการเพิ่มขึ้นบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว ใต้ขอบตาล่างและหางตา ที่มองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ผิวหนังเริ่มแห้ง มีรูขุมขนใหญ่ขึ้น เกิดฝ้าลึก มีติ่งเนื้อเป็นจุดกระจัดกระจายขนาดเล็กๆ สีน้ำตาล หรือที่เรียกว่าวัยตกกระ รวมถึงการปรากฏสิวอีกครั้ง
  3. ช่วงอายุ 50-64 ปี ในช่วงนี้ รอยเหี่ยวย่นมีสภาพตามร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนถึงบริเวณใต้มุมปาก ซึ่งเนื่องจากการเสื่อมของคอลลาเจนมากขึ้น จึงมีฝ้าเกิดขึ้น และมีติ่งเนื้อขนาดใหญ่เกิดขึ้นด้วย
  4. อายุ 65 ปี ขึ้นไป ในช่วงวัยนี้ คอลลาเจนในร่างกายเสื่อมสภาพลงอย่างมาก ส่งผลให้ผิวหนังหยาบกระด้างและมีริ้วรอยทั่วใบหน้า
ประโยชน์และโทษ

คอลลาเจนประโยชน์โทษ อย่างไร

บางคนอาจสงสัยว่าการเพิ่มสารคอลลาเจนให้แก่ร่างกายนั้น คอลลาเจนประโยชน์โทษ อย่างไรต่อร่างกายบ้าง

คอลลาเจนกับประโยชน์

  1. คอลลาเจนเป็นสารที่เสริมสร้างความยืดหยุ่นในผิวหนัง ช่วยให้ผิวเนียนนุ่มและชุ่มชื้น และป้องกันการแห้งกราบของผิวหนัง
  2. การสร้างคอลลาเจนในร่างกายลดลงเมื่อเราเพิ่มวัย ซึ่งส่งผลให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยต่าง ๆ ได้ การเสริมคอลลาเจนให้เพียงพอจะช่วยให้โครงสร้างผิวหนังแข็งแรงและลดริ้วรอย
  3. คอลลาเจนช่วยบำรุงเล็บและเส้นผม ทำให้เล็บแข็งแรงและลดการเปราะหัก และเส้นผมยาวรวดเร็ว ไม่ขาดหลุดร่วง
  4. เพิ่มคอลลาเจนในร่างกายร่วมกับวิตามินดีหรือแคลเซียมช่วยลดการสลายของมวลกระดูก และให้กระดูกแข็งแรง ลดความเปราะบางและการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรครูมาตอยด์
  5. คอลลาเจนช่วยบำรุงข้อต่อและกระดูกให้แข็งแรง ลดการเกิดโรคข้อต่อในผู้สูงอายุ

การเพิ่มสารคอลลาเจนให้แก่ร่างกายมีผลเชิงบวกต่อร่างกาย และอย่างไรก็ตามควรใช้การเสริมคอลลาเจนให้เพียงพอและปฏิบัติอย่างถูกต้องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หากมีข้อสงสัยหรือเป็นผู้มีสภาวะแพทย์เฉพาะด้าน ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนการใช้สารเสริมคอลลาเจนเพิ่มเติม

คอลลาเจนกับโทษ

ในความเป็นจริงแล้วการบริโภคหรือการผลิตสารคอลลาเจนในร่างกายไม่มีผลให้เกิดความเสี่ยงหรือความเสียหายต่อร่างกายเลย แต่การบริโภคสารคอลลาเจนจากแหล่งที่มาธรรมชาติ เช่น ปลา หนังสัตว์ และเอ็นสัตว์ เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในร่างกายได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม การบริโภคอาหารเสริมคอลลาเจนในปริมาณที่สูงมากอาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย โดยเฉพาะต่อตับและไต

เพราะสารคอลลาเจนที่มีอยู่ในอาหารเสริมเป็นปริมาณที่เกินกว่าที่ร่างกายจะต้องการ ดังนั้นควรระมัดระวังในการบริโภคและควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ก่อนการใช้สารคอลลาเจนเสริมเพื่อป้องกันผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่อร่างกายในอนาคต

คอลลาเจนดูแลผิวพรรณอย่างไร

คอลลาเจนเป็นโปรตีนรูปแบบหนึ่งที่มีโครงสร้างเป็นกรดอะมิโนโมเลกุลขนาดเล็ก มีกรดอะมิโน 3 ชนิด ที่เรียกว่าคอลลาเจนไตรเปปไทด์ (Collagen Tripeptide) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผิวหนัง อย่างไรก็ตาม คอลลาเจนเกิน 90% เป็นโครงสร้างของผิวหนัง ดังนั้น เมื่อร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนในปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะช่วยให้ผิวหนังเต่งตึง ไม่แห้งกร้าน และสุขภาพแข็งแรง โดยไม่เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือสิว เป็นต้น

ผลิตภัณฑ์เสริมคอลลาเจนช่วยให้ผิวสวยได้จริงหรือ ?

ความรวดเร็วและความเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพของผิวหนังเป็นสิ่งที่หลายคนประสงค์ ซึ่งมีการโฆษณาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจนต่าง ๆ ที่กล่าวถึงการดูดซึมคอลลาเจนอย่างไวในรูปแบบของคอลลาเจนไฮดรอลิเซตเพื่อสร้างคอลลาเจนให้กับผิวหนัง ทฤษฎีเช่นนี้ระบุว่าอาจช่วยลดปัญหาหรืออาการเสื่อมทรายของผิวหนังได้ แต่ในการทดลองจริง ไม่พบผลลัพธ์ในการยืนยันความเป็นไปได้นี้ตามที่ผลิตภัณฑ์คอลลาเจนโฆษณา

มีการศึกษาประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์คอลลาเจนบางชนิดที่ช่วยลดริ้วรอยและฟื้นฟูความยืดหยุ่นของผิวหนัง ผลการศึกษาระบุว่าผู้ร่วมทดลอง 15% ที่รับประทานคอลลาเจนเหล่านี้เป็นเวลามากกว่า 60 วันพบว่าริ้วรอยและความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลงเล็กน้อย แต่ผู้วิจัยยังได้ยืนยันว่าผลลัพธ์ที่ดีอาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ นอกเหนือจากคอลลาเจนที่รับประทา อย่างไรก็ตาม องค์กรผิวหนังแห่งประเทศอังกฤษ (British Skin Foundation) ได้ยืนกรานว่าการบริโภคคอลลาเจนไม่มีประโยชน์ต่อผิวหนัง

ผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงเน็ตด็อกเตอร์ (Netdoctor) ได้เสนอคำสนับสนุนว่าถึงแม้ว่างานวิจัยบางส่วนจะชี้ถึงประโยชน์ของการบริโภคคอลลาเจนต่อการผลิตคอลลาเจนชั่วคราวในร่างกายและการรักษาสุขภาพผิวหนัง ผลลัพธ์เหล่านี้มีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เนื่องจากโครงสร้างผิวหนังและพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่แตกต่างกัน ดังนั้นไม่สามารถยืนยันได้ว่าผลลัพธ์ที่เกิดจากการบริโภคคอลลาเจน นอกจากนี้ ยังแนะนำว่าหากต้องการใช้อาหารเสริมควรทดลองรับประทานต่อเนื่องอย่างน้อย 2 เดือนเพื่อเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรู้สึกถึงความดีขึ้นจริง ๆ

ครีมบำรุงจากคอลลาเจนช่วยลดริ้วรอยได้จริงหรือ ?

ครีมคอลลาเจนที่กล่าวถึงชื่อว่าสามารถฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ของผิวหนังได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะเกิดขึ้นบนชั้นผิวหนังบนเท่านั้น ในเชิงเดียวกันกับมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ต่าง ๆ ที่ช่วยลดการสูญเสียความชื้นของผิวหนัง จึงทำให้ผิวหนังดูอ่อนนุ่มขึ้นเท่านั้น และไม่ว่ามอยซ์เจอร์ไรเซอร์จะมีหรือไม่มีคอลลาเจนก็ไม่สามารถซึมผ่านและดูดซึมไปสู่ชั้นผิวหนังลึกได้ ดังนั้นครีมบำรุงผิวใด ๆ จะไม่มีประสิทธิภาพในการลดการสูญเสียคอลลาเจนหรือลบริ้วรอยได้

คอลลาเจนดูแลกระดูกอย่างไร

คอลลาเจนชนิดที่ 2(Collagen type II) เป็นสารสำคัญในการบำรุงกระดูกและข้อต่อของร่างกาย มันช่วยเสริมสร้างความหนาแน่นของกระดูก และช่วยซ่อมแซมโครงสร้างที่เสื่อมสภาพ ดังนั้น การบริโภคอาหารที่มีคอลลาเจนชนิดที่ 2เต็มที่จะมีประโยชน์ต่อร่างกาย อาหารที่เป็นแหล่งคอลลาเจน ชนิด นี้มีหลาย ชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาทู เพียงรับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายและกระดูกของคุณแข็งแรง และลดโอกาสเกิดโรคที่เกี่ยวกับกระดูกได้

คอลลาเจนกับการรักษาด้านการแพทย์

เคยมีการสำรวจวิจัยเกี่ยวกับ คอลลาเจน ชนิดที่ 2และพบว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาอาการเจ็บและปวดที่เกี่ยวข้องกับกระดูกและข้อต่อบางแห่ง อย่างไรก็ตาม รายละเอียดเกี่ยวกับประโยชน์เหล่านี้ยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์และยืนยันผลลัพธ์ การรับประทานคอลลาเจนชนิดที่ 2 อาจมีประโยชน์ในการรักษาอาการเจ็บต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระดูกและข้อต่อ เช่น อาการปวดหลัง ปวดคอ ฯลฯ แต่การวิจัยและการศึกษาเพิ่มเติมจำเป็นต่อไปเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นทางการเกี่ยวกับประสิทธิภาพและการใช้งานของคอลลาเจนชนิดนี้ในการรักษาโรคและอาการผิดปกติทางกระดูกและข้อต่อ

  • การรักษาโรคข้อเสื่อม อาจเริ่มใช้คอลลาเจนชนิดที่ 2เพื่อช่วยลดอาการเจ็บและเสริมการฟื้นฟูกระดูกข้อต่อ การทบทวนงานวิจัยแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของคอลลาเจนชนิดที่ 2ในการรักษาโรคข้อเสื่อมและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับข้อต่ออื่นๆ รวมถึงความสามารถในการดูดซึมผ่านกระบวนการย่อยบางส่วนในลำไส้เพื่อนำไปสะสมในกระดูกอ่อนได้

นักวิจัย สรุป ได้ว่าคอลลาเจนชนิดที่ 2มีกลไกการทำงานที่อาจช่วยลดอาการโรคข้อเสื่อมและปรับปรุงสภาพข้อต่อของผู้ป่วย โดยช่วยในการฟื้นฟูและบรรเทาอาการปวดในผู้ที่มีโรคข้อเสื่อมเช่น ข้อเสื่อมเข่า และโรคข้อกระดูกอื่นๆ ซึ่งข้อมูลการศึกษานี้เป็นแนวทางที่ดีในการเรียนรู้เพิ่มเติมในอนาคต เพื่อสรุปความเหมาะสมและประสิทธิผลของการใช้คอลลาเจนชนิดนี้ในการรักษาโรคข้อเสื่อม นอกจากนี้ เพื่อให้การรักษาโรคนี้เป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สูง ควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการใช้คอลลาเจนอย่างเหมาะสม

  • โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) เกิดจากการอักเสบของเยื่อหุ้มกระดูกข้อต่อที่เชื่อว่าเกิดจากปฏิกิริยาของสารก่อภูมิต้านทานภายในข้อต่อ ซึ่งคอลลาเจนชนิดที่ 2เป็นโปรตีนหลักในกระดูกอ่อนข้อต่อและเกี่ยวข้องกับสารก่อภูมิต้านทานที่สำคัญ การศึกษาในอดีตได้สรุปถึงประโยชน์ที่คาดหวังจากคอลลาเจนชนิดที่ 2ในการรักษาโรคนี้ ผลลัพธ์ของงานวิจัยเร็วช้านับเป็นเอกสารที่เสริมให้เชื่อมั่นขึ้น โดยพบว่าผู้ป่วยที่รับประทานคอลลาเจนชนิดที่ 2เป็นเวลา 3 เดือนลดอาการบวมและฟกช้ำในข้อต่อได้ลดลง ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับยาหลอกไม่มีผลลัพธ์และมีผู้ป่วยจำนวน 4 คนจากทั้งหมด 60คนที่ทดลองผ่านการรักษาโดยคอลลาเจนชนิดที่ 2 อย่างสมบูรณ์

งานวิจัยเพิ่มเติมใหญ่ขึ้นเพื่อทดสอบความเหมาะสมของการรับประทานคอลลาเจนชนิดที่ 2ในปริมาณต่างๆ กลุ่มของผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์จำนวน 274 คนถูกแบ่งเป็นกลุ่มเพื่อรับประทานคอลลาเจนชนิดที่ 2ในปริมาณที่แตกต่างกัน เช่น 20/100/500 หรือ 2500 ไมโครกรัมต่อวัน ตลอดระยะเวลา 24 สัปดาห์ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการรับประทานคอลลาเจนชนิดที่ 2ในปริมาณ 20 ไมโครกรัมต่อวันมีผลดีในการรักษาและไม่มีผลข้างเคียงจากการใช้

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยที่ใช้เวลานานกว่าและเก็บข้อมูลจาก 60คนที่รับประทานคอลลาเจนชนิดที่ 2ในปริมาณวันละ 0.25 มิลลิกรัม ไม่ได้พบผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ซึ่งชี้ว่าคอลลาเจนชนิดที่ 2มีประโยชน์เพียงเล็กน้อยและมีประสิทธิภาพไม่สม่ำเสมอ ด้วยผลงานวิจัยที่มีข้อขัดแย้งและข้อจำกัดต่าง ๆ นี้ ยังไม่สามารถยืนยันสรรพคุณของคอลลาเจนชนิดที่ 2 ในการรักษาโรครูมาตอยด์ได้

  • คอลลาเจนชนิดที่ 2มีการกล่าวถึงประโยชน์ที่เชื่อว่าสามารถบรรเทาอาการปวดได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหลังหลังการผ่าตัด อาการปวดข้อหลังได้รับบาดเจ็บ หรืออาการปวดคอ ในการทดลองหนึ่งที่เป็นไปในสมาชิกชมรมกีฬาในมหาวิทยาลัย 147 คน ที่ถูกแบ่งเป็นกลุ่มเพื่อรับประทานเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนชนิดที่ 2ปริมาณ 10 กรัม หรือยาหลอกเป็นเวลาต่อเนื่อง 24 สัปดาห์

หลังจากสิ้นสุดการทดลอง พบว่านักกีฬาที่รับประทานเครื่องดื่มที่ผสมคอลลาเจนมีอาการปวดข้อลดลงเล็กน้อย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าคอลลาเจนชนิดที่ 2อาจมีประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพข้อต่อและลดโอกาสเสื่อมของข้อต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักกีฬาที่ต้องใช้งานข้อต่ออย่างหนักเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้มีขนาดเล็กและขอบเขตการศึกษาปานกลาง ซึ่งไม่สามารถยืนยันผลลัพธ์ได้อย่างแน่ชัด แต่ก็เป็นแนวทางที่น่าสนใจในการศึกษาประโยชน์ของคอลลาเจนเพื่อบรรเทาอาการปวดต่อไป

สาเหตุต่างๆ ที่ทำให้คอลลาเจนลดลง

ปัจจัยที่ส่งผลทำให้คอลลาเจนลดลงภายในร่างกายไม่ใช่เพียงแค่อายุเท่านั้น โดยสาเหตุที่สำคัญที่สามารถทำลายคอลลาเจนนี้มีดังนี้

  1. รังสี UV จากแสงแดด: รังสี UV ที่เข้าสู่ร่างกายผ่านผิวหนัง สามารถทำลายเซลล์ DNA ที่เป็นตัวกำหนดในการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้คอลลาเจนโครงสร้างของผิวหนังลดลง ส่งผลให้ผิวหนังบางลง มีริ้วรอยและปัญหาของผิวง่าย วิธีการแก้ไขคือใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมค่า SPF 50 PA++ เพื่อป้องกันอันตรายจากรังสียูวี
  2. การสูบบุหรี่: สารต่าง ๆที่มีอยู่ในบุหรี่สามารถทำลายคอลลาเจนและสารอาหารผิวหนังทุกชนิด ส่งผลให้คอลลาเจนภายในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว วิธีการแก้ไขคือเลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันจากบุหรี่
  3. ขาดวิตามินซี: วิตามินซีมีบทบาทในการกระตุ้นร่างกายในการผลิตคอลลาเจน วิธีการแก้ไขคือรับประทานอาหารหรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ส้ม ฝรั่ง มะนาว เป็นต้น
  4. ความเครียดสะสมในระยะเวลานาน: เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะเครียด จะมีการผลิตฮอร์โมนชื่อว่า “คอร์ติซอล” ที่มีหน้าที่ทำลายคอลลาเจนและขัดขวางการผลิตคอลลาเจน ทำให้คอลลาเจนลดลงและไม่มีคอลลาเจนใหม่ที่จะมาแทนที่ วิธีการแก้ไขคือไม่ให้ตนเองต้องเครียดเป็นเวลานาน
  5. การบริโภคอาหารหวาน: น้ำตาลเป็นศัตรูของคอลลาเจน เนื่องจากน้ำตาลสามารถทำลายคอลลาเจนและสร้างความอักเสบในเซลล์ใต้ผิวหนังได้อย่างรุนแรง วิธีการแก้ไขคือลดการบริโภคอาหารหวานให้น้อยลง

นอกจากนี้ ควรระมัดระวังการใช้เสริมคอลลาเจนอย่างถูกต้องและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ก่อนการใช้เสริมคอลลาเจนเพิ่มเติมเพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการแพทย์

เมื่อร่างกายขาดคอลลอเจนจะเป็นอย่างไร

ขาดคอลลาเจนในร่างกายจะมีผลกระทบที่หลากหลายต่อสุขภาพ เกิดปัญหาต่างๆได้ดังนี้

  1. ผิวแห้งและหยาบกร้าน: คอลลาเจนช่วยให้ผิวหนังยืดหยุ่นและชุ่มชื่น ขาดคอลลาเจนทำให้ผิวแห้งขึ้น และมีความเสียหายมากขึ้น เช่น ผิวเป็นขุยหรือลอกหลุดง่าย
  2. การหยุดไหลของเลือดช้าและการหายป่วยช้า: คอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญในการยึดเซลล์เลือดเข้าด้วยกัน ขาดคอลลาเจนทำให้เลือดหยุดไหลช้าลงและการฟื้นตัวหลังจากการบาดเจ็บหรือการป่วยช้าลง
  3. ปวดข้อและกระดูกอ่อนแอ: คอลลาเจนช่วยในการสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกและป้องกันการสลายของมวลกระดูก ขาดคอลลาเจนอาจทำให้เกิดปัญหาเช่น ปวดข้อและกระดูกอ่อนแอ
  4. กล้ามเนื้ออ่อนแรง: คอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญของกล้ามเนื้อ ขาดคอลลาเจนทำให้กล้ามเนื้อลีบและอ่อนแรงจากปกติ
  5. เส้นผมอ่อนแรงและร่วงง่าย: คอลลาเจนมีบทบาทในการบำรุงรากเส้นผมและเส้นผม ขาดคอลลาเจนทำให้เส้นผมไม่แข็งแรงและง่ายต่อการหลุดร่วง

ดังนั้น การบริโภคอาหารที่มีคอลลาเจนเพียงพอสำคัญในการรักษาสุขภาพทั่วไปและความงามของร่างกาย

กระตุ้นร่างกายอย่างไรให้สร้างคอลลาเจน

เนื่องจากร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนได้เอง ถ้ายังไม่เกินอายุ 40 ปี ไม่จำเป็นต้องรับประทานคอลลาเจนเสริม สามารถกระตุ้นร่างกายให้ผลิตคอลลาเจนเต็มที่ได้ดังนี้

  1. รับประทานโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน เพื่อ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการคำนวณปริมาณโปรตีนที่จำเป็นตามน้ำหนักของร่างกาย ซึ่งแนะนำให้รับประมาณ 1 กรัม ของโปรตีนต่อ 1 กิโลกรัม ของน้ำหนักตัว
  2. เลือกบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีและวิตามินอี เช่นส้ม ฝรั่ง องุ่น ทับทิม คะน้า บรอกโคลี มะนาว เพื่อกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนในร่างกายและชะลอการสลายของคอลลาเจนในอวัยวะต่างๆ
  3. รับประทานอาหารที่มีวิตามินเอ เนื่องจากวิตามินเอช่วยกระตุ้นกระบวนการเจริญเติบโตของสารชื่อ “ไฟโบรบลาสต์” ที่มีหน้าที่ในการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
  4. ลดการบริโภคอาหารหวานในปริมาณที่มาก เนื่องจากอาหารหวานอาจส่งผลต่อกระบวนการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
  5. ดื่มน้ำเปล่าสะอาดอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เนื่องจากน้ำเปล่าเป็นส่วนประกอบหลักที่สำคัญในกระบวนการผลิตคอลลาเจน และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับโครงสร้างภายในร่างกาย
ทานคอลลาเจนอย่างไรให้เห็นผล

ทานคอลลาเจนอย่างไรให้เห็นผล

การรับประทานคอลลาเจนในรูปแบบต่างๆเช่นผลไม้ อาหารหลัก หรืออาหารเสริม เป็นวิธีที่สามารถกระตุ้นร่างกายให้ดูดซึมคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องปฏิบัติตามหลักการที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด มีข้อแนะนำดังนี้

  1. ควรรับประทานคอลลาเจนในช่วงเวลาท้องว่าง เนื่องจากร่างกายมีความสามารถในการดูดซึมคอลลาเจนซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอให้ได้อย่างมากที่สุด
  2. หลังจากการรับประทานคอลลาเจน ควรดื่มน้ำเปล่าสะอาดปริมาณ 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่
  3. รับประทานวิตามินซี วิตามินอี หรือวิตามินเอ เพราะสารเหล่านี้ช่วยกระตุ้นกระบวนการดูดซึมคอลลาเจนในร่างกายได้มากขึ้น
  4. ควรรับประทานคอลลาเจนในปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกาย ซึ่งปริมาณคอลลาเจนที่ร่างกายต้องการอยู่ในช่วง 5,000-7,000 มิลลิกรัมต่อวัน

ด้วยการปฏิบัติตามข้อแนะนำดังกล่าว จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนได้อย่างเต็มที่และได้ผลลัพธ์ที่ดีในการรักษาความชุ่มชื่นและความยืดหยุ่นของผิวพรรณ

ใครบ้างที่ควรจะทาน

จากข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์และประเภทของคอลลาเจนที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้ เราสามารถสรุปได้ว่าคอลลาเจนเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายเช่นเดียวกับสารอาหารอื่น ๆ ที่คนเราควรได้รับเพียงพอ ดังนั้น มีกลุ่มผู้ที่มีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะต้องบริโภคอาหารเสริมคอลลาเจนเพื่อรักษาสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้นเป็นพิเศษ

  1. วัยทำงานที่มีอายุ 25 ขึ้นไป: เนื่องจากความสามารถในการสร้างคอลลาเจนของร่างกายจะลดลงเมื่อเกิดความแก่ขึ้น และโอกาสที่จะเผชิญกับสิ่งที่ทำลายคอลลาเจนในร่างกายเพิ่มขึ้น คนที่อยู่ในช่วงวัยทำงานจึงควรรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดีขึ้น
  2. คนที่ใช้ร่างกายหนัก หรือมีน้ำหนักตัวมาก: ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก ออกกำลังกายหนัก หรือมีพฤติกรรมที่ทำให้ร่างกายต้องใช้งานอย่างหนัก อาจทำให้กระดูก กล้ามเนื้อ และข้อต่อเสียหาย จึงจำเป็นต้องรับการฟื้นฟูและดูแลเพื่อป้องกันอาการเจ็บปวดและอักเสบร้ายแรง
  3. ผู้สูงอายุ: ในวัยผู้สูงอายุ ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนได้น้อยลง ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังย่อนคล้อย หย่อนเหี่ยว หรือเกิดปัญหากับกระดูกและข้อต่อ
  4. ผู้ที่มีอาการปวดข้อ หรือปัญหาเกี่ยวกับข้อเสื่อม: ไม่เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น ผู้ที่มีอาการหรือปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวกับกระดูกและข้อต่อ คอลลาเจนสามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดตามข้อต่อต่าง ๆและลดความรุนแรงได้
  5. ทุกคนที่ต้องการดูแลสุขภาพและผิวพรรณ: คอลลาเจนไม่ได้มีความสามารถในการบำรุงเพียงแค่กระดูกและข้อเสื่อมเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์สำหรับผิวหนังที่ต้องการดูแลให้ดูสดใส และลดริ้วรอยที่เริ่มจางลง การรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนเป็นทางเลือกที่มีประโยชน์โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีอาการป่วย ซึ่งสามารถเสริมคอลลาเจนให้ร่างกายได้ทันที

ใครบ้างที่ไม่ควรทาน

เพื่อป้องกันอาการไม่พึงประสงค์หรือผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจน จึงควรระมัดระวังและต้องการคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในกรณีที่สงสัยหรือมีปัญหาสุขภาพต่าง ๆอย่างเช่น

  1. สตรีที่ตั้งครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตร: การรับประทานคอลลาเจนในปริมาณมากอาจมีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์และการให้นมบุตร ดังนั้น ควรปฏิเสธการรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนในช่วงนี้
  2. ผู้ที่อายุต่ำกว่า 15 ปี: ร่างกายของเด็กและวัยรุ่นยังไม่ค่อยพร้อมที่จะรับประทานคอลลาเจนเสริม อาหารที่หลากหลายและที่มีปริมาณโปรตีนพอเพียงในอาหารปกติจะเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนา
  3. ผู้ที่อยู่ในระหว่างการรอผ่าตัดหรือผู้ที่อยู่ในการดูแลของแพทย์: ในบางกรณี การรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจนอาจมีผลกระทบต่อการผ่าตัดหรือการรักษาทางการแพทย์ เพราะอาจมีส่วนผสมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อหรือการนำเข้าสารเคมีภายในร่างกาย
  4. ผู้ที่มีประวัติการแพ้อาหารทะเลหรืออาหารบางชนิดที่เป็นส่วนประกอบในคอลลาเจน: คอลลาเจนอาจมีส่วนผสมจากสารอาหารทะเลหรือสารอาหารที่เป็นส่วนประกอบแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งอาจเกิดการแพ้หรืออาการแพ้ที่มาจากส่วนนี้ได้ ดังนั้น ควรเลี่ยงการรับประทานคอลลาเจนในกลุ่มนี้
  5. ผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคที่ห้ามกินคอลลาเจน: บางโรคมีข้อจำกัดในการรับประทานคอลลาเจน เช่น โรคไทรอยด์ โรคไต โรคภูมิคุ้มกันเลือดบกพร่อง (SLE) โรคธาลัสซีเมีย โรคไวรัสตับอักเสบ โรคไขมันพอกตับ โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคมะเร็ง โรคลิ่มเลือดอุดตัน โรคเก๊า และโรคพังผืดกดทับเส้นประสาท ในกรณีนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจน
  6. ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ: หากมีปัญหาสุขภาพที่รุนแรงหรือมีการรับยาหรือการรักษาทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริมคอลลาเจน เพื่อป้องกันผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์หรือการรบกวนกับการรักษาทางการแพทย์

การปฏิบัติตามข้อควรระมัดระวังที่ได้กล่าวมาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากคอลลาเจนอย่างเหมาะสมและปลอดภัยสำหรับร่างกายของเรา

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *