คอลลาเจนผิว มีความสำคัญอย่างไร ไขข้อสงสัยประโยชน์ของคอลลาเจน

คอลลาเจนผิว

การสร้างคอลลาเจนในร่างกายมีความสำคัญมากในช่วงอายุ 25 ปี คอลลาเจนผิว จีงมีความสำคัญ เพราะเมื่อเพิ่มอายุขึ้นไป การผลิตคอลลาเจนจากร่างกายลดลงพร้อมกับการสลายตัวของคอลลาเจนที่มีอยู่แล้ว ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกระทบต่อผิวพรรณอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากปัจจัยภายใน เช่น การสลายตัวของคอลลาเจนในร่างกาย ยังมีปัจจัยภายนอกที่สามารถทำลายคอลลาเจนได้เช่นกัน

อย่างเช่นการถูกแดดจัด มลภาวะ ฝุ่น การนอนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ และบริโภคอาหารที่มีความหวานสูง การเสื่อมโทรมคอลลาเจน และอีลาสติน นั้นอาจทำให้ผิวหย่อนคล้อยลง ขาดความยืดหยุ่น มีริ้วรอย และเกิดรอยหมองคล้ำบนผิว นอกจากนี้ยังทำให้ผิวดูไม่สดใส สีผิวไม่สม่ำเสมอ และทำให้ดูแก่กว่าวัย ดังนั้น เพื่อดูแลผิวที่ดีจะต้องเริ่มที่สุขภาพภายในที่ดี สามารถเลือกบริโภคอาหารที่มีคอลลาเจนเพื่อบำรุงผิวเป็นวิธีหนึ่งที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้เพื่อดูแลผิวจากภายใน

เนื้อหา

คอลลาเจน (Collagen) คืออะไร ?

คอลลาเจนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในร่างกายที่มีอยู่ในส่วนต่างๆ เช่น ผิวหนัง เส้นผม กระดูก เนื้อเยื่อ และผนังหลอดเลือด ข้อต่อ กล้ามเนื้อ ฯลฯ เป็นตัวช่วยในการยึดเกาะส่วนต่างๆ ร่างกายของมนุษย์สามารถผลิตคอลลาเจนได้เอง แต่ปริมาณคอลลาเจนที่เราสร้างขึ้นจะลดลงเมื่อเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเราเข้าสู่วัย 30 ปีขึ้นไป ซึ่งอัตราการสร้างคอลลาเจนจะลดลงประมาณ 1% ต่อปี ในขณะเดียวกัน อัตราการสลายยังคงเดิม ทำให้ปริมาณคอลลาเจนชนิดต่าง ๆ ในร่างกาย ลดลงเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง

Collagen แต่ละชนิดต่างกันอย่างไร

ในปัจจุบันมีคอลลาเจนทั้งหมด 18 ชนิด แต่คอลลาเจนที่พบมากที่สุดในร่างกายมนุษย์มีเพียง 5 ชนิด นำมาเรียงตามลำดับคือคอลลาเจนชนิดที่ 1, 2, 3, 4, และ 5

  • คอลลาเจนชนิดที่ 1 (Collagen Type I)

เป็นชนิดที่พบมากที่สุดในร่างกาย มีบทบาทสำคัญในการสร้างมวลกระดูก กล้ามเนื้อ ผนังหลอดเลือด ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนังและสมานผิวเมื่อเกิดบาดแผล

  • คอลลาเจนชนิดที่ 2 (Collagen Type II)

คอลลาเจนประเภทที่ 2 (type II) พบมากในกระดูกอ่อน เช่น เนื้อเยื่อหู และหลอดลม อันเป็นส่วนประกอบสำคัญ ที่มีบทบาททางโครงสร้าง และสนับสนุนให้กับข้อต่อภายในร่างกาย อย่างไรก็ตาม คอลลาเจนประเภทที่ 2 ต่างจากคอลลาเจนประเภทที่ 1 โดยมีหน้าที่เร่งให้เกิดกระบวนการสังเคราะห์เซลล์ เพื่อลดการสึกหรอของกระดูกอ่อนในส่วนของข้อต่อ ซึ่งคอลลาเจนประเภทที่ 2 พบได้มากที่สุดในกระดูกอ่อนและหมอนรองกระดูกสันหลัง มีบทบาทในการรองรับน้ำหนักและเสริมความแข็งแรงให้กับข้อต่อ

ในขณะที่ยังคงให้ความเคลื่อนไหวได้ แต่ปกติแล้ว เนื้อเยื่อกระดูกอ่อนประกอบด้วยเส้นใยคอลลาเจนประเภทที่ 2 รวมถึงกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid) และโปรตีโอไกลแคน (Proteoglycan) เช่น แอกกริแคน (Aggrecan) ที่ประกอบด้วยไกลโคอะมิโนไกลแคน (Glycoaminoglycans) ตัวอย่างเช่น คอนโดอิตินซัลเฟต (Chondroitin Sulfate) และเคอราแทนซัลเฟต (Keratan Sulfate) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญอื่น ๆ การศึกษาพบว่า ในบุคคลที่มีน้ำหนักตัวสูง หรืออายุสูง

นอกจากนี้ กระดูกอ่อนชนิด Articular Cartilages ซึ่งมีความทนต่อแรงกระแทก เริ่มเสื่อมลง โดยเฉพาะที่ข้อต่อที่รับน้ำหนัก เช่น ข้อเข่าและสะโพก ซึ่งเชื่อมโยงกับภาวะการเกิดข้อเสื่อมและการอักเสบของข้อ (Osteoarthritis)น้ำหนักและความแข็งแรงของข้อต่อตามจุดอ่อนต่างๆของร่างกาย เช่น ข้อเข่า

  • คอลลาเจนประเภทที่ 3 (type III)

มักพบร่วมกับคอลลาเจนประเภทที่ 1 ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และผนังหลอดเลือด และเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย การพบคอลลาเจนประเภทที่ 3 ร่วมกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 มีปริมาณน้อยกว่าร้อยละ 10 โดยส่วนใหญ่พบในผนังหลอดเลือด และปริมาณน้อยในข้อต่อต่าง ๆ นั่นเอง ซึ่งแตกต่างจากบทความก่อนหน้าที่กล่าวถึงคอลลาเจนประเภทที่ 2

  • คอลลาเจนชนิดที่ 4 (Collagen Type IV)

พบมากในเนื้อเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อและไขมัน มีบทบาทสำคัญในระบบประสาทและหลอดเลือดของร่างกาย

  • คอลลาเจนชนิดที่ 5 (Collagen Type V)

ชนิดนี้บางครั้งพบในจุดเดียวกับชนิดที่ 1 และสามารถพบได้ในเนื้อเยื่อของทารกในครรภ์

คอลลาเจนผิว ต่างกับ คอลลาเจนข้อ อย่างไร

เมื่อต้องการเลือกคอลลาเจน ควรให้ความสำคัญกับผลลัพธ์จากการวิจัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มั่นใจได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณกังวลเรื่องริ้วรอยบนผิวหนัง ควรเลือก คอลลาเจนผิว แต่หากคุณกังวลเรื่องข้อเสื่อม คุณควรเลือกคอลลาเจนสำหรับข้อ สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือคอลลาเจน สองชนิดนี้ไม่สามารถทำหน้าที่แทนกันได้ ดังนั้นในการรับประทานคอลลาเจนควรพิจารณาจุดประสงค์ที่ต้องการเป็นหลัก มาดูว่าคอลลาเจนทั้ง 2 แบบ ต่างกันอย่างไร

คอลลาเจนผิว

คอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญในผิวหนังที่มีปริมาณมากกว่า 90 % และเป็นคอลลาเจนชนิดที่ 1 ที่พบมากที่สุดในร่างกาย มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง เพื่อป้องกันการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ และช่วยสมานแผลบนผิวหนังได้อย่างดี ดังนั้นผิวหนังของคนที่มีปริมาณคอลลาเจนเพียงพอจะมีลักษณะสวยงาม นุ่มเนียน และไม่มีริ้วรอย

คอลลาเจนข้อและกระดูก

คอลลาเจนสำหรับข้อมีความจำเป็นและพบมากที่สุดในข้อกระดูกอ่อน ซึ่งมีหน้าที่แตกต่างจากคอลลาเจนสำหรับผิวหนังอย่างชัดเจน ฟังก์ชันหลักของคอลลาเจนชนิดนี้คือการกระตุ้นการสังเคราะห์เซลล์ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อช่วยในการสร้างกระดูกอ่อนและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอบริเวณข้อได้

สรรพคุณและประโยชน์

สรรพคุณและประโยชน์ของคอลลาเจน

  1. สร้างความยืดหยุ่นของผิวหนัง: คอลลาเจนชนิดหนึ่ง เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้กับผิวหนัง ซึ่งช่วยให้ผิวดูกระชับและ เรียบเนียน ลดริ้วรอยในกระบวนการเกิดริ้วรอยและสิ่งสกปรกต่างๆ
  2. ส่งเสริมสุขภาพข้อและเนื้อเยื่อ: คอลลาเจนชนิดอื่นๆ เช่น Collagen Type II มีบทบาทสำคัญในการสร้างเนื้อเยื่อของข้อ ได้แก่ เข่าและข้อต่ออื่นๆ ช่วยให้ข้อเสื่อมถึงเล็กน้อยและมีความแข็งแรง
  3. สนับสนุนระบบประสาทและหลอดเลือด: คอลลาเจนชนิดที่ 4 มีบทบาทในการสร้างเนื้อเยื่อที่หุ้มกล้ามเนื้อและไขมัน ช่วยรวบรวมและสนับสนุนระบบประสาทและหลอดเลือดให้แข็งแรง
  4. ช่วยเสริมสร้างระบบสมอง: คอลลาเจนชนิดที่ 3 เป็นส่วนสำคัญในสร้างเนื้อเยื่อที่อยู่ในระบบประสาท ช่วยเสริมสร้างระบบสมองและสังเคราะห์เซลล์สมอง
  5. สร้างความแข็งแรงของเล็บ ผม และฟัน: คอลลาเจนชนิดที่ 1 และ 3 มีบทบาทในการสร้างเล็บที่แข็งแรง ผมที่เงางามและให้โครงสร้างแข็งแรง และฟันที่แข็งแรงและปกป้อง
  6. ส่งเสริมสุขภาพกระดูกและเส้นเอ็น: คอลลาเจนชนิดที่ 2 เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเนื้อเยื่อข้อ ช่วยให้ กระดูก กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นของร่างกายแข็งแรงและยืดหยุ่น

สรุปได้ว่าคอลลาเจนมี ประโยชน์ ในการสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง สนับสนุนสุขภาพข้อและเนื้อเยื่อ รวมถึงส่งเสริมสุขภาพของระบบประสาทและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการสร้างเล็บ ผม และฟันที่แข็งแรงและสมบูรณ์

คอลลาเจนมีโทษหรือไม่ ?

คอลลาเจนไม่มีผลต่อร่างกายถ้าเป็นคอลลาเจนที่ร่างกายสร้างหรือคอลลาเจนที่มาจากอาหารที่มีปริมาณสูง เช่น ปลา หนังสัตว์ และเอ็นสัตว์ อย่างไรก็ต้องระวังไม่ให้เป็นการบริโภคอาหารเสริมในปริมาณมาก เนื่องจากอาจมีผลกระทบต่อร่างกายได้ เช่น ส่งผลต่อการทำงานของตับและไต ดังนั้นคอลลาเจนที่มาจากแหล่งที่เป็นธรรมชาติและการบริโภคให้เป็นไปตามปริมาณที่เหมาะสม จะมีประโยชน์และปลอดภัยต่อร่างกายมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญและไม่ควรบริโภคเกินปริมาณที่แนะนำ

ทานคอลลาเจนอย่างไรให้ถูกวิธี

เมื่อเราทราบถึงประโยชน์ของคอลลาเจนแล้ว เราสามารถนำเสนอวิธีการรับประทานคอลลาเจนที่ถูกต้องเพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด

1.กินคอลลาเจนหลังตื่นนอนทันที

ช่วงเช้าหลังจากการตื่นนอนเป็นเวลาที่ท้องว่างมากที่สุด เนื่องจากในช่วงคืนเราไม่ได้รับสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น เมื่อรับประทานคอลลาเจนในช่วงเช้านี้ ร่างกายจะสามารถดูดซึมคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้คอลลาเจนสามารถทำงานได้เต็มที่

2.กินคอลลาเจนก่อนกินอาหาร

การรับประทานคอลลาเจนก่อนกินอาหารอย่างน้อย 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำให้คอลลาเจนทำงานได้ดีและมีประสิทธิผล นอกจากนี้ยังช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมคอลลาเจนได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับการรับประทานคอลลาเจนพร้อมหรือหลังทานอาหาร ดังนั้น การแยกเวลาระหว่างการรับประทานคอลลาเจนกับอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อให้ได้ประโยชน์ที่มากที่สุดจากคอลลาเจนที่รับประทาน

3.กินคอลลาเจนแล้วดื่มน้ำมากๆ

การรับประทานคอลลาเจนแล้วดื่มน้ำมากๆ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมคอลลาเจนให้กับร่างกายอย่างมากขึ้น อีกทั้งการดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันยังช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นไม่แห้งและสุขภาพดีอีกด้วย

เพิ่มคอลลาเจนให้ร่างกายด้วยการกินอาหาร

  1. คำนึงถึงการบริโภคโปรตีนให้เพียงพอต่อวัน: เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างคอลลาเจนได้เต็มที่ ควรรับประทานโปรตีนจากแหล่งต่าง ๆ เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ และธัญพืชให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยที่สัดส่วนประมาณ 1 – 1.2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตัวอย่างเช่น หากน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ควรรับประทานโปรตีนประมาณ 50 – 60 กรัมต่อวัน ในกรณีที่เลือกกินเนื้อสัตว์ อาจรวมกันประมาณ 200 – 250 กรัม การรับประทานโปรตีนที่เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายสามารถย่อยจนเป็นกรดอะมิโนและนำไปสร้างคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลให้ผิวพรรณ ข้อเข่า และโครงสร้างกระดูกเป็นอย่างดี
  2. การบริโภควิตามินซี: วิตามินซีเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในการควบคุมการสลายของคอลลาเจน จึงควรบริโภคผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก เช่น ฝรั่ง คะน้า บรอกโคลี สตรอเบอร์รี่ ส้ม แอปเปิ้ลแดง มะนาว และเบอร์รีชนิดต่าง ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ
  3. การบริโภควิตามินเอ: วิตามินเอช่วยกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ไฟโบรบลาสต์ที่รับผิดชอบในการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินของร่างกาย ซึ่งมีผลให้ผิวพรรณมีความยืดหยุ่นและกระชับ ควรบริโภคอาหารที่มีวิตามินเอมาก เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ผักที่มีสีเขียวเข้มและสีเหลืองส้ม เช่น ตำลึง ผักบุ้ง แครอทและมะละกอสุก เป็นต้น
  4. การบริโภควิตามินอี: วิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำงานร่วมกับวิตามินซี แหล่งที่มาของวิตามินอีอยู่ในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันรำข้าว และน้ำมันถั่วเหลือง นอกจากนี้ยังพบในถั่วอัลมอนด์ อาโวคาโด กีวี่และมะม่วง เป็นต้น
  5. การบริโภคไขมันดี: ไขมันที่ดีเป็นส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนและรักษาความยืดหยุ่นของผิวพรรณ ควรเลือกบริโภคไขมันที่มีคุณค่าทางสุขภาพ เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว น้ำมันออลิฟ และน้ำมันปลาที่มีส่วนผสมของกรดไขมันอิอิโคซาเปนท์ (Omega-3) เพื่อส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนและลดการสลายของคอลลาเจนในร่างกาย
  6. เสริมสารอาหารที่ส่งเสริมคอลลาเจน: บางครั้งการบริโภคอาหารเพียงพออาจไม่เพียงพอในการส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน ดังนั้นคุณอาจต้องพิจารณาการรับประทานเสริมสารอาหารที่ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน เช่น กลูต้ามีน ลีซีน อาทิ โรสอิน คอเอ็ม และฮิสตีน ซึ่งสามารถหาได้ในรูปแบบของอาหารเสริมหรือเพิ่มเติมสูตรอาหารที่พร้อมรับประทานกับอาหารปกติ
  7. การเลี่ยงอาหารรสหวาน: เลี่ยงการกินเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สำคัญในการรักษาคอลลาเจนให้เป็นปกติ น้ำตาลที่มีอยู่ในอาหารรสหวานสามารถเกิดกระบวนการไกลเคชัน (glycation) ได้ซึ่งจะทำให้คอลลาเจนเสียรูปร่างและไม่ยืดหยุ่นอย่างที่ควรเป็น ดังนั้นควรลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน น้ำเชื่อม และเครื่องดื่มที่หวานจัด
  8. การดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอวันละ 8-10 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตรต่อวัน เพราะน้ำเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างคอลลาเจน หากไม่ได้รับน้ำเพียงพอ การสร้างคอลลาเจนก็จะลดลงไปด้วย ดังนั้นควรดูแลการดื่มน้ำให้เพียงพอตามความต้องการของร่างกายเป็นประจำ

การบำรุงรักษา คอลลาเจน เพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดีต้องเป็นการรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวิธีที่ดีแต่วิธีการเดียว ควรรักษารูปแบบการดูแลตามขั้นตอนที่กล่าวมาเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อย่าลืมว่าคอลลาเจนเป็นส่วนสำคัญของร่างกายและผิวพรรณ ดังนั้นการดูแลรักษาคอลลาเจนอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

เพิ่มคอลลาเจนให้ร่างกายด้วยวิธีอื่น ๆ

เพิ่มคอลลาเจนให้ร่างกายด้วยวิธีอื่น ๆ

ท่านสามารถเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในร่างกายได้โดยใช้วิธีต่างๆ ในปัจจุบัน อย่างเช่นการทาครีมหรือสูตรผลิตภัณฑ์ที่มีคอลลาเจนเข้าไปในสารสำคัญ อีกวิธีหนึ่งคือการฉีดคอลลาเจนโดยตรงเข้าสู่ผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีวิธีการรับประทานคอลลาเจนผ่านอาหารเสริม และอีกวิธีหนึ่งคือการทำหัตถการทางการแพทย์เพื่อเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในร่างกายโดยตรง

  • การทาคอลลาเจน เป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้แพร่หลาย แต่คอลลาเจนที่ใช้ในการทามีขนาดโมเลกุลใหญ่เกินไปที่จะซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่ชั้นผิวใน ดังนั้น คอลลาเจนทาไม่สามารถแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวได้อย่างเต็มที่ การเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในร่างกายมีวิธีที่หลากหลายให้เลือกใช้ การทาคอลลาเจนเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยม แต่คอลลาเจนชนิดทามีขนาดโมเลกุลใหญ่เกินไปที่จะซึมผ่านผิวหนังและเข้าสู่ชั้นผิวในได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น การทาคอลลาเจนไม่สามารถแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวได้อย่างสิ้นเชิง
  • การฉีดคอลลาเจน ในอดีตเคยมีการฉีดคอลลาเจนที่สังเคราะห์จากสัตว์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังและลดความหย่อนคล้อยของผิว แต่พบว่ามีความเสี่ยงที่สูงในการเกิดอาการแพ้ ดังนั้นในปัจจุบันด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยมากขึ้น สารเติมเต็ม (Filler) ในกลุ่มไฮยาลูโรนิกแอซิด (Hyaluronic acid) ได้รับความนิยมในการใช้แทน สารเติมคอลลาเจน โดยมีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงของการเกิดอาการแพ้ในระดับที่น้อยลง
  • การทานคอลลาเจนเสริม การบริโภคคอลลาเจนมีแหล่งอาหารหลายชนิดที่มีคอลลาเจนอย่างอุดมคลุม ได้แก่ เนื้อสัตว์ เอ็น เยลลี่ เจลาติน นอกจากนี้ยังมีคอลลาเจนสังเคราะห์ที่ผสมอยู่ในอาหารเสริมและเครื่องดื่ม แต่ปัญหาที่พบบ่อยในการบริโภควิธีนี้คือคอลลาเจนมีโมเลกุลขนาดใหญ่ ซึ่งจะถูกย่อยในระบบทางเดินอาหารก่อนที่จะถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้ในรูปของกรดอะมิโน ดังนั้นเราแนะนำให้บริโภคคอลลาเจนที่มีโมเลกุลขนาดเล็กลงเพื่อให้การดูดซึมมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • หัตถการทางการแพทย์ การรักษาผิวหนังด้วยหัตถการทางการแพทย์เป็นวิธีที่ช่วยแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยให้กับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการนี้ใช้เทคโนโลยีที่แข็งแรงเพื่อกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนในผิวหนังของบุคคล อุปกรณ์ที่นิยมใช้เป็นเครื่องเลเซอร์หรือเครื่องอื่นที่ปล่อยพลังงานเข้าสู่ผิว เป็นการสร้างความร้อนใต้ผิว ทำให้เกิดกระบวนการสร้างเส้นใยคอลลาเจนเพิ่มขึ้นในผิวหนังได้

การเสื่อมสภาพของคอลลาเจน

เราจะพบว่าเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนเมื่ออยู่ในสถานะสมดุลได้น้อยลง ผลที่เกิดขึ้นจะทำให้ผิวหนังส่วนใหญ่เริ่มสลาย คอลลาเจนที่มีอยู่ในชั้นผิวหนังจะเริ่มลดลงซึ่งทำให้ผิวไม่ยืดหยุ่นและไม่กระชับอย่างที่ควรเป็น สภาวะนี้ยังส่งผลต่อสุขภาพทั่วไปของร่างกายอีกด้วย เช่น กระดูก ข้อต่อ และเส้นผมที่แสดงอาการเสื่อมสภาพเนื่องจากขาดคอลลาเจน วิจัยพบว่าคอลลาเจนในร่างกายจะเริ่มลดลงเมื่อมาถึงอายุประมาณ 25 ปีและลดลงประมาณ 1-2% ต่อปีเมื่ออายุผ่านไป 30 ปีขึ้นไป

ผิวหน้าจะเริ่มบางลงและพบริ้วเหี่ยวย่นในรอบดวงตาและคิ้ว ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นทั้งในเรื่องของการแสดงสีหน้าและอารมณ์ ในอายุ 40 ปีขึ้นไป รอยเหี่ยวย่นบนผิวหน้าจะเริ่มเป็นที่มองเห็นชัดเจนแม้ไม่มีการแสดงสีหน้า และเมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป คอลลาเจนจะลดลงมากและผิวหนังจะเริ่มหยาบกระด้าง ไม่ชุ่มชื้น และมีรอยเหี่ยวย่นที่ชัดเจนและลึกมากขึ้น

การเสื่อมสภาพตามวัยของอายุ

  • เมื่อท่านเข้าสู่ช่วงอายุ 30-39 ปีคือ ผิวหนังจะเริ่มแสดงอาการเสื่อมสภาพได้แก่รอยย่นบางๆ ที่หน้าผาก ริ้วรอยเล็กๆ ใต้ขอบตาล่าง และระหว่างหางตา เฉพาะเวลาที่ขณะยิ้ม และมีรอยย่นตรงระหว่างคิ้ว ซึ่งกลายเป็นรอยย่นที่ชัดเจนในบริเวณที่ถูกกระจายไว้ที่หน้า นอกจากนี้ยังพบรอยเหี่ยวย่นบางๆ ที่ร่องแก้มตามจมูกไปจนถึงริมฝีปาก อาจเกิดฝ้าและกระ ฝ้าที่ลักษณะลึกและตื้น ขนาดรูขุมขนยังเริ่มเห็นชัดขึ้น
  • เมื่อครบรอบอายุ 40-49 ปี จะมีรอยย่นเพิ่มขึ้นที่หน้าผาก ระหว่างคิ้ว ใต้ขอบตาล่าง และหางตาที่เห็นชัดเจนมากขึ้น รอยย่นที่แก้มและร่องแก้มจะลึกทอดยาวไปจนถึงบริเวณใต้มุมปาก รอยฝ้าจะมีลักษณะลึกมากขึ้น สภาพผิวหนังเริ่มแห้ง มีรูขุมขนใหญ่และอาจเกิดปัญหาสิวอีกครั้ง ติ่งเนื้อเพิ่มขึ้นและกระจัดกระจายเป็นตุ่มเล็กๆ โดยมีสีน้ำตาล ภาวะนี้เรียกว่าวัยเริ่มตกกระ
  • ในช่วงอายุ 50-64 ปี ผิวหนังมีลักษณะคล้ายกับวัย 40-49 ปี แต่มีรอยย่นที่แก้มลึกทอดยาวไปจนถึงบริเวณใต้มุมปาก มีฝ้าเกิดขึ้นและติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นเนื่องจากคอลลาเจนที่เริ่มเสื่อมสภาพอย่างมาก
  • เมื่อครบรอบอายุ 65 ปีขึ้นไป ผิวหนังจะทรงพฤติกรรมใกล้เคียงกับวัย 50-64 ปี โดยมีรอยย่นทั่วหน้า ริมฝีปากบางบางมีรอยย่นเหนือริมฝีปาก แม้ว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่เกิดขึ้น แต่สภาพเหล่านี้ถือว่าเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับทุกคนโดยไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่ท่านยังสามารถช่วยลดความเสื่อมของผิวพรรณและรักษาความสวยงามของผิวไว้ให้นานที่สุดโดยใช้สารสกัดโปรตีนคอลลาเจนเป็นตัวช่วยในการทดแทนคอลลาเจนที่ขาดหายไป

เมื่อคอลลาเจนเสื่อมจะเป็นอย่างไร

คอลลาเจนเสื่อมหรือคอลลาเจนที่ลดลงในร่างกายจะเกิดปัญหาทางสุขภาพและความงามได้หลายประการ

  • ริ้วรอยและฝ้าที่เพิ่มขึ้น: คอลลาเจนมีบทบาทสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นและความเรียบเนียนของผิวหนัง การสูญเสียคอลลาเจนจะทำให้ผิวหนังเสื่อมโทรมและปรากฎริ้วรอยเช่น ริ้วรอยที่ใบหน้า รอยเหี่ยวย่นตา และฝ้าที่มืดขึ้น
  • ความอ่อนแอของผิว: คอลลาเจนเสื่อมทำให้เส้นสายรัดผิวหนังอ่อนแรงลดลง ทำให้ผิวหย่อนคล้อยและแก่ร่วมกับกระบวนการสูญเสียย่อยอื่น ๆ เช่นแรงอัดตรงส่วนเอวหรือเต้านม
  • ปัญหารอยแดงและอักเสบของข้อต่อ: คอลลาเจนเสื่อมลงอาจทำให้เกิดปัญหาในข้อต่อ เช่น ข้อหัวเข่าหรือข้อศอกที่มีรอยแดงและอักเสบ เนื่องจากคอลลาเจนช่วยสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับเนื้อเยื่อข้อต่อ
  • ผมที่แตกลงและเสียหาย: คอลลาเจนเสื่อมลงอาจทำให้เส้นผมอ่อนแอและแห้งตึง ผมอาจเป็นผมที่แตกลงและเสียหายได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ คอลลาเจนยังมีบทบาทในการสร้างเส้นผมใหม่
  • ปัญหาข้อเข่าและข้อสะโพก: คอลลาเจนส่งผลต่อเส้นเอ็นข้อเข่าและข้อสะโพก หากคอลลาเจนเสื่อมลง เส้นเอ็นที่คลานหุ้มข้อเข่าและข้อสะโพกจะถูกทำลาย นำไปสู่ปัญหาเข่าเสื่อมและข้อสะโพกเสื่อม

การรักษาปัญหาคอลลาเจนเสื่อมสามารถทำได้โดยการบริโภคอาหารที่รวมถึงคอลลาเจนสายสั้น รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมที่มีส่วนประกอบของคอลลาเจน เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในร่างกาย

สิ่งกระตุ้นที่ทำให้คอลลาเจนถูกทำลาย

มีส่วนกระตุ้นในการทำลายคอลลาเจนมีหลายปัจจัยที่สามารถมีผลต่อการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนในร่างกายได้ นี่คือบางตัวอย่าง:

  1. อายุ: คอลลาเจนเสื่อมลงเป็นธรรมชาติเมื่อเกิดกระบวนการเสื่อมสภาพของร่างกาย อายุเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่อการสูญเสียคอลลาเจน เนื่องจากการสร้างคอลลาเจนในร่างกายลดลงเมื่อเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น
  2. สภาพแวดล้อม: ปัจจัยเชิงสภาพแวดล้อม เช่น แสงแดด มลภาวะ ความร้อน ความชื้นสูง และมลภาวะอื่น ๆ สามารถทำลายคอลลาเจนได้ พิษและสารเคมีที่เราสัมผัสหรือบริโภคอาจเป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพคอลลาเจน
  3. สุขภาพทั่วไป: สภาวะทางสุขภาพที่ไม่ดี เช่น ภาวะอ้วน โรคเบาหวาน โรคเส้นเลือด และโรคอื่น ๆ อาจส่งผลให้คอลลาเจนเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว
  4. พฤติกรรมการดำเนินชีวิต: โดยเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพผิวหนัง เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การบริโภคอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง และสิ่งอื่น ๆ ที่ส่งผลให้เกิดอนุมานของออกซิเดชั่นฟรีไรด์ (free radicals) ซึ่งสามารถทำลายคอลลาเจนได้
  5. การทำงานของร่างกาย: การออกกำลังกายที่เข้มข้นสูงหรือการทำงานที่เป็นภาระหนักอย่างต่อเนื่อง อาจทำลายคอลลาเจนเนื่องจากการเกิดการระคายเคืองของสารเคมีในร่างกายที่เรียกว่าก๊าซออกซิเจนทะลุผ่านส่วนของสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย

นอกจากปัจจัยเหล่านี้แล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากที่สามารถส่งผลกับการเสื่อมสภาพคอลลาเจน การดูแลและรักษาสุขภาพทั้งกายและผิวหนังอย่างดีจะช่วยลดการเสื่อมสภาพคอลลาเจนได้เพื่อป้องกันและรักษาคอลลาเจนในร่างกาย

ปริมาณของคอลลาเจนที่ร่างกายต้องการ

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการรับประทานคอลลาเจน แนะนำให้เลือกรับประทานคอลลาเจนสายสั้นที่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ (hydrolysis) เพื่อลดขนาดของโมเลกุลคอลลาเจนลง ซึ่งทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นส่วนประกอบในกระบวนการสร้างคอลลาเจนในร่างกายได้ทันที ปริมาณคอลลาเจนที่แนะนำให้บริโภคในแต่ละวันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยโดยไม่มีผลข้างเคียงคือ 2.5-15 กรัม

ครีมบำรุง คอลลาเจนผิว ช่วยลดริ้วรอยได้จริงหรือ?

ครีม คอลลาเจนผิว ที่กล่าวถึงมีประโยชน์ในการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ของผิวหนังแต่ช่วยได้เฉพาะผิวหนังชั้นบนเท่านั้น เช่นเดียวกับมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ชนิดอื่น ๆ ที่ช่วยลดอัตราการสูญเสียน้ำของผิวหนัง ทำให้ผิวหนังดูอ่อนนุ่มขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีหรือไม่มีคอลลาเจน ไม่สามารถซึมผ่านและถูกดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังชั้นลึกได้ ดังนั้น ครีมบำรุงผิวใด ๆ จึงไม่สามารถลดการสูญเสียคอลลาเจนหรือลบเลือนริ้วรอยได้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *